Loading

wait a moment

คำสารภาพนิสัยการอ่านอันแปลกปะหลาดของมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก [Warren Buffett]

“การลงทุนในความรู้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดหรือไม่?”

ผมไม่แน่ใจนักว่าคุณปู่เขาเคยพูดประโยคเป๊ะๆ แบบนี้ไว้หรือไม่
แต่สำหรับบุคคลต้นแบบของนักลงทุนแนว VI ที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานและมีคนรู้จักมากที่สุดในโลกคนนี้
คำพูดดังกล่าวคงไม่เกินจริงมากไปนัก…
เพราะอะไรไปดูกันเลยในหลักการทั้ง 4 ข้อนี้
.
.
.
.
.
และนี่คือนิสัยการอ่านอันไม่ธรรมดาทั้ง 4 ข้อ ของคุณปู่วอร์เรน
===

 

1.อ่านให้เยอะๆ

 

ใครกันที่จะนั่งอ่านหนังสืออย่างน้อย 500 หน้าในทุกสัปดาห์
ใครกันที่ใช้ช่วงเวลาการทำงานมากกว่า 80% ไปกับการอ่านเพียวๆ
และนี่คือวิธีการให้การสร้างฐานความรู้ใหม่ๆ ให้ขยายออกไป
หากมองว่าความรู้ก็เหมือนกับต้นไม้ ที่มีลำต้น กิ่งก้านสาขา และดอกใบ
ตัวลำต้นจะเปรียบเหมือนฐานของความรู้ ซึ่งจะเติบโตออกไปได้โดยการสั่งสมผ่านการอ่าน

 

ทำไมคุณปู่ต้องอ่านให้เยอะ?

ในโลกของธุรกิจและตลาดหุ้นที่สุดแสนผันผวน อีกทั้งมีปัจจัยผลกระทบมากมาย ตราบใดที่ AI Technology ยังไม่พัฒนามากพอที่จะประมวลผลและทำนายปัจจัยร้อยแปดพันเก้าที่จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การอัพเดทความรู้ด้วยการอ่านเยอะๆ อย่างต่อเนื่องจะกลายเป็นกระบวนการฝึกสมองให้กลายเป็น Thinking machine ที่จะอัพเดทและหาลู่ทางในการตอบสนองได้อย่างฉับไว

 

“Charlie Munger” ซึ่งเป็นคู่หูธุรกิจของคุณปู่มาอย่างยาวนาน…ไม่เพียงแค่ในด้านของธุรกิจเท่านั้นที่ชาลีมีพันธกิจร่วมกัน แต่นิสัยทางการอ่านของทั้งสองนั้นนับได้ว่าฮาร์ดคอร์ไม่แพ้กัน…ครั้งหนึ่งคุณปู่เคยพูดถึงชาลีไว้ว่า

 

“เขาเป็นคนที่หัวไวมากกว่าใครที่ผมเคยเห็น เวลาที่ผมมีเรื่องให้ต้องขบคิด เพียงแค่ 30 วินาทีที่ผมเล่าให้เขาฟัง ชาลีจะเก็ทไวมาก แล้วก็จะเห็นลู่ทางของปัญหาได้แทบในทันที”

 

นี่คือการมองว่าความรู้ ความเข้าใจที่เรามีต่อโลก ทักษะการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นเรื่องของการสั่งสมความรู้มากกว่าความฉลาดที่พวกเรามีมาแต่กำเนิด…และมันเกิดขึ้นได้จากการขยันอ่านหนังสือให้มากและกว้างขวางนั่นเอง

 

 

 

2.ผมไม่อ่าน “ความคิดเห็น” หรอกนะ !!!

Warren Buffett
Warren Buffett

ยอมรับเลยว่าข้อนี้สุดโต่งมากๆ และก็คล้ายกับวิธีคิดในการอ่านของ Bill Gates ที่ผมพูดไปตอนที่แล้วอย่างมากในเรื่องของการ จดโน๊ต เพื่อตั้งคำถามต่อประเด็นต่างๆ โดยจะไม่เชื่อในทันที

 

คุณปู่บอกเราว่า…

 

“ผมไม่อ่านมันมากหรอกนะ ในส่วนของความคิดเห็น ผมมักจะอ่านเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงมากกว่า แล้วค่อยลงมือครุ่นคิดด้วยตัวเองในความหมายที่แท้จริงของมัน”

 

ต้องบอกเลยว่าในบทความที่ผมเขียนอยู่นี้ก็มีทั้งส่วนที่เป็น “ข้อเท็จจริง” และ “ความคิดเห็น”
ผู้อ่านมีความสามารถแยกแยะมันออกจากกันได้ไหม
มีตรงไหนที่เห็นต่างจากที่ผมเสนอ…
เพราะนี่คือวิธีการของผู้ที่มี “อิสระทางความคิด” ซึ่งจะช่วยให้การอ่านของเราสามารถขยายมุมมองให้กว้างออกไปมากกว่าแค่สิ่งที่เราอ่านอยู่ตรงหน้ามากมายนัก

 

 

 

 

3.อ่านจบ…ถกประเด็นต่อ

President Barack Obama meets with Warren Buffett
President Barack Obama meets with Warren Buffett

 

สำหรับผู้เขียนเอง นี่คือเทคนิคที่ Make Sense อย่างมาก
เพราะเป็นวิธีการอ่านหนังสือสอบที่โดยส่วนตัวคิดว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งพอศึกษาวิธีการของคุณปู่ก็พบว่าสอดคล้องกันมากๆ อย่างเหลือเชื่อ

 

หลายๆ คนชอบที่จะนั่งจับกลุ่มติวหนังสือกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งก็คงไม่ได้เสียหายอะไรถ้าไม่ได้มองจากความเป็นจริงที่ว่าเวลาในการอ่านสอบนั้นกระชั้นชิดเราไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้น

 

ผมกับเพื่อนที่สนิทกันจึงใช้วิธีแยกกันไปอ่านคนเดียวกันมาก่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงค่อยหาเวลามาถกประเด็น ถามตอบ เพื่อเช็คความเข้าใจกันในภายหลังซึ่งจะประหยัดเวลาอย่างมาก

 

ซึ่งมันก็สอดคล้องในมุมของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงว่องไว
คุณปู่มักจะเลือกทำงานอยู่คนละเมืองกับคู่หูชาลี เพราะอดไม่ได้ที่จะเดินมาเม้ามอยกันแทบจะตลอดเวลา
จนกระทั่งอาจไม่มีเวลาให้กับการอ่าน!!!!

 

สำหรับข้อนี้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้ในหลายแบบครับ

 

– ในกรณีอ่านสอบ
– ถกเนื้อหาในหนังสือ Non-Fiction กับเพื่อน เช่น หากอ่านชีวประวัติของ Elon Musk มา ก็อาจคุยกับเพื่อนว่า “ระหว่างการจะหนีโลกไปดาวอังคาร ถ้าเอาเวลาและทรัพยากรมาพัฒนาโลกใบเดิมที่มีอยู่จะดีกว่าไหม”

– เอากิมมิกในนิยาย วรรณกรรมต่างๆ มาคุยกับเพื่อนเพื่อเพิ่มอรรถรส…เดี๋ยวนี้บ้านเราเริ่มมี Event ที่จัดกิจกรรมลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ก็เพิ่งมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือในซีรีย์ “ปัญญา” ที่ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะที่พารากอน

 

 

 

 

4.อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

invest in yourself
ลงทุนด้านเวลาให้ับตัวเอง [Invest in yourself]

ในโลกที่แสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจที่สามารถมอบความฟินแบบชั่วขณะให้กับเราได้มากมาย

 

-เล่นไอจีก็มันส์
-มีคนมากดไลค์ก็ฟิน
-ดูคลิบใน Youtube ก็เพลิน
-นอนฟังเพลงใน JOOX เรื่อยๆ ก็ชิว
-ชาไข่มุกหวานๆกินตอนนี้ได้ เรื่องลดนํ้าหนัก ออกกำลังกายไว้พรุ่งนี้
-ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ…เรายังไม่ตาย ความฝันเดี๋ยวไว้ค่อยทำก็ได้

 

นี่คือปรากฎการณ์นักจิตวิทยาเรียกว่า
“Instant gratification”
หรือที่แปลเป็นไทยว่า
“ความสุขของกู ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ทันที ไม่ต้องรอ”

 

ซึ่งสอดคล้องกับความรู้วิทยาศาสตร์สมอง (Neuroscience) ที่พบว่ากิจกรรมฟินไวๆ เหล่านี้กระตุ้นสมองให้หลั่งสาร Dopamine เป็นจำนวนมาก

 

ในสมัยที่คุณปู่และสหายคนสนิทยังหนุ่มๆอยู่นั้น คุณปู่เล่าว่าชาลีเพื่อนของเขาเป็นนักกฎหมายซึ่งทำรายได้ประมาณ $20 ต่อชั่วโมง
ก็เลยตะหงิดๆ ใจ แล้วถามตัวเองว่า

 

ลูกค้าคนที่สำคัญที่สุดคือใคร ???
และคำตอบก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…แต่เป็นตัวของเขาเอง

 

นั่นจึงทำให้ชาลีเพื่อนของเขาตัดสินใจว่าต่อจากนี้ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนเขาจะแบ่งเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกวันเพื่อ “ลงทุนในตัวเอง”
ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรเจกใหม่ๆ ที่ต่อยอดเป็นธุรกิจ การหาคอนเนคชัน การพัฒนาตนเอง

 

นี่คือการ “ละ” ความสุขแบบ “Instant gratification” ไป แล้วเลือกที่จะเอาเวลาเหล่านั้นมาลงทุนในตัวเอง

 

หากความสำเร็จต้องอาศัยความรู้
และความรู้ไม่ได้สร้างได้ในชั่วข้ามคืน
การแบ่งเวลามาอ่านหนังสือหรือฝึกทักษะใหม่ๆ จะสร้างแต้มต่อมหาศาลดังที่ชาลีเพื่อนสนิทของคุณปู่กล่าวไว้ว่า

 

“Read 500 pages like this every week. That’s how knowledge builds up, like compound interest.”

“อ่านให้ได้ 500 หน้าแบบนี้ในทุกสัปดาห์สิ นี่คือธรรมชาติของการก่อร่างสร้างความรู้ มันก็คล้ายๆ กับพลังของดอกเบี้ยนั่นแหละ”

เอาล่ะครับ ก่อนจากกันมาสรุปกันหน่อย

1.อ่านให้เยอะๆ: ความรู้ต่อความรู้ดังกิ่ง ก้าน ใบ ใช้ได้ทันการณ์เมื่อโอกาสมาถึง

2.แยกแยะ: “ความคิดเห็น” ออกจาก “ข้อเท็จจริง” แล้วคิดต่อยอด

3.อ่านจบ…ถกประเด็นต่อ: เพราะการอ่านไม่ใช่เรื่องเดียวดาย ถกเถียง ประกอบสร้าง ต่อยอดความคิดกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกับนักปรัชญากรีกโบราณนาม “โสเครติส” ที่บอกเราว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบมากนัก”

4.การทุนในความรู้ เป็นการลงทุนที่ดีที่สุด: แบ่งเวลามาเลยครับอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้พลังดอกเบี้ยทบต้นได้แสดงความมหัศจรรย์ออกมา

 

สำหรับในตอนต่อไปๆ หากใครชอบทิปการอ่านในลักษณะนี้ก็อย่าเพิ่งหนีหายกันไปนะครับ เพราะเรายังเหลือนักอ่านระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและธุรกิจอีกหลายคน
เราจะมาไขความลับเหล่านี้กัน
รอติดตามนะครับ 

ข้อมูลอ้างอิง https://bit.ly/2NjpDZB

ณภัทร สงวนแก้ว
ณภัทร สงวนแก้ว

คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น และแชร์ไปยัง Facebook ของท่าน