Loading

wait a moment

ทำไมวลี “Follow your passion” ถึงไม่ใช่คำแนะนำที่ดี

follow your passion

0.CEO แหกคอก

“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life.”

“เวลาชีวิตของคุณมีจำกัด อย่าได้เสียเวลาเอามันไปใช้เดินตามฝันของใครๆ”
===

 

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นช่วงเวลาที่สาวกสัมผัสได้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันของคนในชนเผ่า พวกเขาต่างส่งเสียงโห่ร้องเมื่อ CEO คนปัจจุบันปรากฎตัวขึ้นบนเวทีภายใต้ผมสีเงินและดวงตาเป็นประกาย

 

ปัจจุบันนี้มีจำนวนผู้ใช้ Smartphone ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกและหนึ่งในสามของผู้ใช้เหล่านั้นใช้ iPhone

นั่นทำให้ Tim Cook …CEO ของบริษัท Apple กลายเป็น CEO ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปัจจุบัน เขาคือชายที่เราพึ่งกล่าวถึงไป…

 

ทว่าพวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่าความยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นมาอย่างเรียบง่ายในโรงรถของชายที่ชื่อว่า Steve Jobs...เป็นความยิ่งใหญ่ที่เกิดจากการเดินทางอันยาวไกลด้วยความใฝ่ฝันอันแรงกล้า…

 

คือการดำเนินชีวิตตามปรัชญา “Follow your passion” ที่นำพาหนุ่มอินดี้ พี้กัญชา บ้าเทคโนโลยีคนหนึ่งให้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกอบการสมัยใหม่ที่ไม่ก้มหัวให้กับใคร ต่อสู้ท้าทายและตั้งคำถามต่อขนบเก่าๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยฝันถึงมาก่อน

 

ในเมื่อศาสดาสอนให้เราดื้อรั้น…เราก็จะตั้งคำถามแม้กระทั่งคำสอนของศาสดาเสียเอง (ขบถให้ถึงที่สุดไปเลย)

ใช่, วันนี้เราจะมาชำแหละแนวคิด “Follow your passion” ของ Steve Jobs ว่ามันมีส่วนดีส่วนด้อยที่เชื่อได้หรือไม่ได้อย่างไร

เราจะไปดูกันว่าแค่เดินตาม “สิ่งที่รัก” ก็พอแล้วหรอที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ…เกริ่นมาขนาดนี้ก็คงรู้แล้วว่ามันคงไม่เรียบง่ายขนาดนั้น…

 

แล้วคำตอบทางจิตวิทยาจริงๆมันเป็นอย่างไร…ผมจะเล่าให้ฟัง

 

1.ความคิดสร้างสรรค์
ความหัวรั้น แหกคอก
กล้าบ้าบิ่น

หากใครที่ชื่นชอบจ๊อปอาจเคยได้ฟัง speech ที่พูดในวันเรียนจบของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2005 มีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับความสำคัญของการตามหาสิ่งที่เรียกว่า Passion…เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่ต้องการความสำเร็จในระดับที่ยิ่งใหญ่เพราะการเดินทางสายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคที่สามารถทำให้คนทั่วๆไปยกธงขาวยอมแพ้ได้อย่างสบายๆ

 

คนที่ตอบไม่ได้ว่าทำสิ่งอยู่เราไปทำไม เพียงแต่ทำไปอย่างนั้น ทำไปวันๆ มักจะล้มเลิกไปเสียก่อน

แต่เป็น passion นี้เองที่ทำให้เราสามารถก้าวข้ามพ้นสิ่งเหล่านั้นไปได้…มันคือเชื้อไฟที่ดีที่ทำให้เรายังคงก้าวต่อไปแม้วันที่เราสะบักสะบอมมากที่สุด

 

จากวลี Follow your passion ก็ได้ถูกย่อส่วนกลายเป็นประโยคใหม่สไตล์จ๊อปที่หลายคนยังคงจำติดตัวมาทุกวันนี้…เป็นวลีที่จ๊อปกล่าวปิด speech ในวันนั้น นั่นก็คือ “Stay hungry, stay foolish” หรือที่มีผู้แปลไว้ได้อย่างสวยงามว่า

 

“อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ”

 

จ๊อป ลาจากโลกไปพร้อมกับความยิ่งใหญ่ที่โลกต้องจำสำหรับเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่เคยได้เจอหน้าของพ่อแม้แท้ๆจนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม เรียนไม่จบ และถังแตกในสมัยวัยรุ่น แต่จากไปพร้อมกับมูลค่าบริษัทมหาศาลและได้ Transform นิยามใหม่ของซุปเปอร์ฮีโร่ในศตวรรษที่ 21

 

จ๊อปเป็นนวัตกรผู้เก่งกาจ มีวิสัยทัศน์ เพราะนั่นคือบทบาทของเขา แม้จะจากโลกนี้ไปนานเกือบ 10 ปีแล้วแต่ message ของเขาที่ inspire เราให้ตามหา “สิ่งที่รัก” ยังคงอยู่

 

จ๊อปบอกให้เราตามหาสิ่งที่รัก
แต่ไม่ได้บอกว่าต้องตามหาอย่างไร

จ๊อปบอกเราว่า passion คือองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในความสำเร็จ

แต่จ๊อปไม่ได้บอกเราว่าเมื่อพบแล้วเราจะทำยังไงต่อ

 

โดยส่วนตัว…ผู้เขียนชื่นชอบแนวคิด follow your passion ของจ๊อปมานาน แต่พอยิ่งได้ศึกษาจิตวิทยาและอ่านเจองานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นก็พบว่า…วลีนี้ยังทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีนัก…และนี่คือเหตุผล 2 ข้อนั้น

 

หนึ่ง follow your passion อาจทำให้เราตีความผิดไปว่าแค่เพียงเรา “ค้นพบสิ่งนั้น” ของเรา หลังจากนั้นทุกอย่างจะง่ายไปหมด

สอง คนอาจเข้าใจคำว่า passion เป็นเหมือนสิ่งของซักอย่าง ที่มีจำนวนจำกัด เจอแล้วเจอเลย ตอบได้ชัดเจนว่ามันคืออะไร เป็นเหมือนพรที่เราได้รับจากฟ้ามาตั้งแต่เกิด เช่น ฉันพบว่าตัวเองหลงไหลการจัดสวน แต่ความจริงแล้วอีกชื่อหนึ่งของคำว่า “passion” ก็คือ “interest” หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “ความสนใจ” ซึ่งมันไม่ใช่สิ่ง “รูปธรรม” ที่มีจำนวนจำกัด เราสามารถค้นพบสิ่งที่เราชอบทำใหม่ๆได้เสมอ

 

เมื่อเราควบรวมความหมายของ follow your passion ทั้งสองข้อออกมา สิ่งที่เราได้คือ การตามหาอะไรบางอย่างที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นเหมือนตัวช่วยฟ้าประทานมาให้เราตั้งแต่เกิด สิ่งที่พบแล้วจะทำให้การลงมือทำของเราง่ายดายโดยไม่ต้องพยายามอะไร

ผมไม่ได้กำลังบอกว่าวลี follow your passion มันแย่ เพียงแต่ถ้าเรารับทัศนคติแบบนี้มาแล้วเข้าใจอย่างผิดๆ ก็อาจทำให้เราเกิดมุมมองที่ให้ผลตรงข้ามกับที่ศาสดา Apple เรากต้องการจะบอกก็ได้…

 

นั่นก็คือ Fixed Mindset
มันคืออะไรผมจะเล่าให้ฟัง

 

2.เมื่อ Passion ทำให้โลกคุณแคบลง

Mindset แปลเป็นไทยได้อย่างง่ายๆ ว่า ‘กรอบความคิด’ หรือสามารถเปรียบได้กับ ‘แว่นตา’ ที่เราใช้มองโลกนั่นเอง

หากคุณเป็นผู้ใหญ่คุณมองตัวเองอย่างไรใน 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า…หากคุณยังเป็นเด็กหรือวัยรุ่นอยู่ คุณคิดว่าคุณจะโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ? สิ่งเหล่านี้คือคำถามพื้นฐานที่จะช่วยเผยให้เห็นวิธีการที่คุณ ‘จินตนาการ’ ถึงตัวเองในอนาคต

จากการตอบคำถามดังกล่าวเราสามารถแบ่งคนออกเป็นคร่าวๆ ได้ 2 ประเภทคือ

หนึ่ง คนที่เมื่อมองไปยังอนาคตแล้วเห็นการเติบโต การเจริญพัฒนา สิ่งดีๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา…

สอง คนที่ไม่มีความหวังในอนาคต หรือมองว่าเราคงไม่คู่ควรพอกับสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น ชีวิตมันก็แค่นี้

 

และเราเรียกคนประเภทนี้ว่าคนที่มี Growth Mindset…ส่วนคนที่มองตัวเองว่าไม่สามารถพัฒนาได้ว่า Fixed Mindset และนี่คือคำอธิบายว่าหากคุณเข้าใจวลี follow your passion แบบผิดๆ มันอาจทำให้ชีวิตคุณแย่กว่าเดิมก็ได้

ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Stanford เจ้าของหนังสือจิตวิทยาระดับโลกที่ชื่อ Mindset: The New Psychology of Success

นาม Carol Dweck ได้ทำการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลของการมี Mindset ที่แตกต่างกันนี้

 

เขาพบว่าเด็กที่มี Fixed Mindset มีแนวโน้มว่าเมื่อเจอปัญหาหรืออุปสรรคมักจะ “ถอดใจ” ไปเสียง่ายๆ และไม่พยายามที่จะปรับตัวหรือหาหนทางแก้ปัญหานั้น…พูดง่ายๆ ว่ายอมศิโรราบต่อปัญหาและอุปสรรค และเลือกที่จะเดินหนีไปแทนที่จะสู้กับมัน

 

และหนึ่งในการศึกษาที่ Carol Dweck ก็คือ การหาคำตอบว่ามุมมองหรือ mindset ที่เรามีต่อ passion ส่งผลอย่างไรต่อการพัฒนาความสนใจในด้านต่างๆของชีวิตบ้าง

 

“If you are overly narrow and committed to one area, that could prevent you from developing interests and expertise…”

“เมื่อไหร่ที่เรากรองความสนใจให้แคบมากเกินไป ให้ความสำคัญกับแค่สิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งเดียว…มุมมองแบบนี้จะกีดกันคุณจากการสร้างพัฒนาการความสนใจ หรือความเชี่ยวชาญใหม่ๆที่คุณไม่เคยพบมาก่อน”

 

ซึ่งต้องบอกก่อนว่าคุณ Carol Dweck นี่เขาเป็นนักวิจัยนะครับ…นั่นหมายความว่าเขาก็ได้มีการทำการทดลองจริงๆเพื่อพิสูจน์ประเด็นเหล่านี้ด้วย

วิธีการก็ง่ายๆคือแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มตามความสนใจ

กลุ่มแรก เนิร์ดเทคโนโลยี (Science-Technology-Engineering-Math)

กลุ่มที่สอง กลุ่มมนุษย์ศาสตร์ (humanities)

หลังจากนั้นก็เอาบทความสองแบบคือ เกี่ยวกับเทคโนโลยีและเกี่ยวกับสายมนุษย์ศาสตร์ ให้กับคนทั้งสองกลุ่มอ่าน

แน่นอนว่าในภาพรวมคนทั้งสองกลุ่มก็ต้องสนใจในการอ่านบทความของสายตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือคนที่มี Fixed Mindset จะมีแนวโน้มว่าว่าจะสนใจอ่านบทความที่ไม่ใช่กลุ่มของตนเองน้อยกว่าปกติ…เรื่องนี้บอกอะไรกับเรา ???

 

ไม่ผิดถ้าคุณจะชื่นชอบวลี follow your passion แต่ถ้าคุณตีความได้ไม่ดีพอคุณอาจจะแค่มองหาสิ่งต่อไปที่มันจะโดนใจคุณ สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกว้าวได้ทุกเมื่อ สิ่งที่เป็นเหมือนยาวิเศษที่ทำให้คุณเดินทางสู่ความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ก็ทำไมเสียล่ะ !!! ฉันค้นพบ passion ของตัวเองแล้ว มันก็ต้องง่ายดายน่ะสิ (แล้วถ้าต่อมาพบว่าหนทางเดินนั้นมันไม่ง่ายหรือเริ่มหมดความสนใจต่อสิ่งนั้นแล้วล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตจะจบเห่เลยไหมถ้าแม้แต่ passion ของเรามันยังเสื่อมค่าได้)

 

แต่เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงตบคุณจนเป๋ คุณเริ่มตระหนักดีแล้วว่าไม่มีเส้นทางไหนที่จะง่ายไปเสียตลอดทาง ไม่มีเส้นทางที่โรยด้วยกลับกุหลาบอย่างที่เคยคิดไว้

 

Passion ไม่ได้ทำให้ขวากหนามบนเส้นทางของคุณหมดไป แต่มันคือวิวสองข้างทางอันรื่นรมจนคุณยอมที่จะโดนหนามแหลมทิ่มแทงเป็นครั้งคราว

 

ทุกคนเคยได้ยินปรัชญา “Follow your passion” ของจ๊อป แต่น้อยคนจะเคยได้ยินประโยคที่จ๊อปเคยพูดด้านล่างนี้…เป็นประโยคที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงทุกเหลี่ยมมุมที่จ๊อปแนะนำให้กับคนรุ่นใหม่…เขากล่าวไว้ดังนี้

 

“Life can be much broader once you discover one simple fact: Everything around you that you call life was made up by people that were no smarter than you. And you can change it, you can influence it… Once you learn that, you’ll never be the same again.”

“ชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่อิสระไพศาลเมื่อคุณค้นพบความจริงง่ายๆข้อหนึ่งว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่คุณคิดว่านั่นแหละคือชีวิต ชีวิตก็เป็นเช่นนี้…แต่อันที่จริงมันถูกสร้างขึ้นด้วยผู้คนที่ไม่ได้ฉลาดเฉลียวไปมากกว่าคุณเลย และตัวคุณเองก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมัน จับมันขยับปรับเปลี่ยน คุณสามารถหาหนทางหรือลองสร้างสิ่งต่างๆที่ผู้คนสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้…และเมื่อคุณคิดได้อย่างนี้เมื่อไหร่ ชีวิตคุณจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย”

 

นี่คือแก่นแท้ความเป็น Growth Mindset ของจ๊อปอย่างแท้จริง… “you can change it” ในความหมายของจ๊อปหมายถึงในทุกระบบความเชื่อ ระบบความคิด หรือทุกสิ่งอย่างที่เราได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเรามีความกล้าพอที่จะก้าวผ่านและละทิ้ง “มายาคติ” เหล่านั้น กำแพงความเป็นไปได้จะเปิดขึ้น

 

จากคนเคยหนักร้อยโล…มาเป็นนักวิ่งล่าถ้วยรางวัล

จากคนโสดอินดี้ทำอะไรคนเดียว…กลายเป็นคนติดแฟนรักครอบครัว

จากหนอนหนังสือแว่นตาหนาเตอะ…กลับหลงรักมนต์เสน่ห์ในการยกลูกเหล็กในยิม

จากหนุ่ม Night life ยามราตรี…กลับค้นพบความงามในความเงียบที่สถานปฏิบัติธรรม

 

หากเราเปิดใจให้ Growth Mindset ทำงาน…ประตูบานใหม่ๆจะเปิดขึ้น

การค้นพบ passion ไม่ได้การันตีความง่ายของหนทาง

ไม่ได้ทำให้ลูกเหล็กเบาขึ้น…ไม่ได้ทำให้ระยะมาราธอนหดสั้นลง

เพียงแต่ทำให้การเดินทางสายใหม่สนุกและน่าสนใจ…

และที่ดีที่สุดคือ เราสามารถพัฒนา passion ใหม่ๆ ได้ตลอดชีวิต

 

3.เราจะไม่วิ่งตาม Passion…แต่ passion ต่างหากที่ต้องวิ่งตามเรา

Follow your passion—บอกให้เราออกตามหาสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่า อย่าได้ยอมแพ้ต่อคำตัดสินจากผู้คนที่บอกว่าสิ่งที่เราอยากทำมันเป็นไปไม่ได้ จงออกเดินทาง ทดลอง ลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยใจเปิดกว้างแบบเซ็น (Zen mind)
ไม่ว่าจะเก่งมากขึ้นหรือเชี่ยวชาญขนาดไหน แต่ก็ต้องเหลือที่ว่างในหัวใจไว้ให้ “Stay hungry stay foolish” อยู่เสมอ…เมื่อพบ Passion นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงานและใช้ชีวิตที่มีความหมายมากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่าได้คิดว่ามันจะไร้ซึ่งอุปสรรคปัญหา…เหนือกว่าการตามหา passion คือการที่เราสามารถพัฒนามันขึ้นมาใหม่ได้ รอบๆตัวคือโอกาส “you can change it”

 

เพราะในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้จ๊อปเป็นตำนานไม่ใช่เพราะ “passion” ที่เค้าค้นพบนั้นดีกว่าใครๆ…มีคนอีกเป็นพันเป็นหมื่นที่มีความสนใจในเทคโนโลยีแบบจ๊อป แต่น้อยคนที่ไม่หยุดแค่ความชอบแต่กล้ามากพอที่จะ “ส่งต่อ” ความหลงไหลนั้นสู่ผู้อื่น…สำหรับจ๊อป มันคือผลิตภันฑ์ต่างๆที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมา

สำหรับผู้เขียน…ผมมองว่าสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า passion ที่มีต่อสิ่งที่ทำ ก็คือ passion ที่จะส่งต่อสิ่งที่เขารักให้กับผู้อื่นนี่แหละครับ

 

4.ไปให้ไกลกว่าคำว่า Passion

อย่าหยุดแค่การตามหา
แต่จงเรียนรู้ที่จะส่งมอบ

อย่ามองว่ามันเป็นของขวัญจากฟ้า
แต่เป็นสิ่งที่เราค่อยๆพัฒนาขึ้น

อย่าหยุดเพียงเพราะเราคิดว่าพบแล้ว
แต่จงค่อยๆต่อยอดร้อยเรียงเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ

 

และสุดท้าย…
อย่าเก็บมันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่กล้ามากพอที่จะท้าทายทุกขนบด้วยการลงมือทำให้มันเกิดขึ้นจริง

เช่นเดียวกับที่จ๊อปเคยพูดไว้ในโฆษณาชิ้นที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Apple ตลอดกาลที่ชื่อว่า “Think different” ว่า…

 

“คนที่บ้าพอที่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนโลกได้ คือคนที่ทำมันได้จริง”

 

เขียนถึงตรงนี้ผู้เขียนก็ขนลุกซู่ขึ้นมา…และก็หวังว่าผู้อ่านจะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง…ขอให้สนุกกับการทำสิ่งที่รัก

 

เพราะหลังจากนี้เราจะไม่วิ่งตาม Passion
แต่ passion ต่างหากที่ต้องวิ่งตามเรา

 

จงอย่ารอแรงบันดาลใจวิเศษจากภายนอก
แต่ลงมือทดลองทำในสิ่งที่เชื่อ แล้วชีวิตก็จะค่อยๆต่อจุดกันไปเรื่อยๆ …จุดที่ร้อยเรียงเต็มไปด้วยสิ่งที่รัก…รู้ตัวอีกทีสิ่งที่เราทำก็ได้กลายเป็น passion ไปเสียแล้ว

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักการอ่านซีเอ็ดอยากเชิญชวนมาส่งต่อ passion เหล่านั้นให้กับน้องๆ ที่ขาดโอกาสในโครงการ #นักอ่านสายบุญ ล่าสุดจากซีเอ็ด…ดูรายละเอียดโครงการได้ที่นี่

#นักอ่านสายบุญ
#นักอ่านสายบุญ
ณภัทร สงวนแก้ว
ณภัทร สงวนแก้ว

คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น และแชร์ไปยัง Facebook ของท่าน