หากคุณเริ่มอ่านหนังสือ week ละ 1 เล่ม
ในหนึ่งปีคุณจะอ่านได้ทั้งหมด 48 เล่ม
ใน 10 ปีอ่านได้ 480 เล่ม
และใน 50 ปี อ่านได้ 2,400 เล่ม
นี่คือตัวเลขที่คิดอยู่บนกติกาว่าคนนี้เป็นคนที่อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอและมีวินัยสูงมาก
ในชีวิตจริงคงมีไม่มากนักที่ใครจะอ่านหนังสือได้มากขนาดนั้น
อาจมีไม่ถึง 1% ของประชากรโลกที่ทำได้เสียด้วยซ้ำ
หนังสือ 2,400 เล่ม… นั้นมากแค่ไหนกัน ?
ถ้าคิดง่ายๆว่า หนังสือ 1 เล่มหนา 1.5 เซ็นติเมตร
ในหนึ่งชีวิตจะมีหนังสือผ่านตาคุณสูงถึง 36 เมตร
หรือประมาณเท่ากับตึกสูง 10 ชั้น
นั่นคือปริมาณความรู้ทั้งหมดในรูปแบบของหนังสือที่คุณจะหาได้ใน 1 ชั่วชีวิตนี้
หลายคนคงเคยได้ยินมาว่าความรู้คืออำนาจ
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Readers Are Leaders
แม้แต่นักลงทุนอันดับโลกที่มีทรัพย์สินมากมายอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ยังบอกว่า
“การลงทุนที่ดีให้ผลตอบแทนคุ้มค่าและดีที่สุด คือการลงทุนในความรู้”
สาวกผู้ศึกษาชีวิตของเขารู้ดีว่าว่าบัฟเฟต์ใช้เวลาขณะลืมตาตื่นครึ่งหนึ่งไปกับการนั่งอ่านหนังสือ
แต่เวลาชีวิตของเราจำกัด…และเราก็อ่านหนังสือได้แค่ตึกสูงสิบชั้นเท่านั้น
ทำอย่างไรคุณถึงจะได้ผลตอบแทนการลงทุนมากที่สุดภายใต้เวลาอันจำกัดนั้น ?
ภายใต้โจทย์นี้คนทั่วไปคิดหาทางออกได้ด้วย 2 อย่างนี้
หนึ่ง อ่านให้มาก
สอง อ่านให้เร็ว
ใช่, คุณอาจจะใช้เวลากับมันให้มากขึ้น
– หากเคยแบ่งเวลาให้การอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง ก็ลองเพิ่มเป็น 2 ชั่วโมง
– หากหนึ่งชั่วโมงอ่านได้ 30 หน้า ก็ฝึกอ่านให้ได้ 60 หน้า
นี่คือ 2 สิ่งที่คนทั่วไปๆ คิด
ทว่ามีอีก 2 ปัจจัยที่มีคนส่วนน้อยตระหนักถึง
เป็นกฎข้อแรกในการอ่านหนังสือของ Bill Gate
เป็นหลักการดำเนินชีวิตของ Elon Musk
เป็นหัวใจในการลงทุนของ Buffett
สองสิ่งนั้นก็คือ
หนึ่ง เพิ่มคุณภาพ
สอง ให้คุณค่ากับอัตราดอกเบี้ยทบต้นของความรู้
มันหมายความว่าอย่างไร…ผมจะเล่าให้ฟัง
หากสมองของเราเปรียบเหมือนฮาร์ดแวร์ที่จับต้องได้
การอ่านหนังสือก็เปรียบเหมือนการอัพเดทซอฟแวร์เวอร์ชันใหม่ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ดีขึ้น
หนึ่งในความมหัศจรรย์ที่สุดของการอ่านคือการทำให้เรามองโลกด้วย “แว่นตา” คู่ใหม่
บนถนนเส้นเก่าเรากับเห็นสิ่งใหม่
บนถนนเส้นใหม่ เรากลับมองเห็นสิ่งที่เราคนเดิมอาจมองไม่เห็น
แต่ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่าเราจำเป็นจะต้อง “Retain” หรือเก็บรักษาสิ่งที่เราเรียนรู้ใหม่ไว้กับตัวได้
หากอ่านเล่มที่ 10 แล้วลืมเล่มที่ 1 ไปเสียหมดสิ้น “ความรู้จะมิอาจต่อความรู้”
“พลังของความรู้ทบต้น” จะไม่สามารถทำงานได้
Elon Musk จึงเคยกล่าวไว้ว่าเขามักจะมองความรู้เหมือนแขนงต้นไม้ที่มี ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ
เขาจะมุ่งศึกษาความรู้ที่เป็น “พื้นฐาน” ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำลำต้นความรู้ให้แข็งแรง
เพื่อให้ความรู้ใหม่ๆ ที่เปรียบเหมือน กิ่ง ก้าน ใบ ได้มีแก่นความรู้ให้ยึดเกาะ
เมื่อนั้นหนังสือเล่มที่ 10 จึงต่อยอดและงอกเงยบนความรู้ของหนังสือเล่มที่ 1 ได้
ต่อให้เราอ่านหนังสือนานขึ้น เร็วขึ้น
แต่ถ้าหนังสือสูงเท่าตึกสิบชั้นนั้นกระจัดกระจาย เป็นความรู้แยกส่วน พลังของความรู้ทบต้นย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้
แม้บัฟเฟต์จะสนับสนุนให้เราลงทุนในตัวเองผ่านการหนังสือมากๆ แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอก แต่เราควรรู้เองก็คือ “อัตราดอกเบี้ยทบต้นของความรู้” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “คุณภาพ” ของหนังสือแต่ละเล่มนั้นต้องมาก่อน
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับข้อแนะนำของมหาเศรษฐีใจบุญนาม บิล เกตต์เคยบอกไว้ว่า…เขาให้ความสำคัญสูงสุดกับ “คุณภาพ” หนังสือที่เขาจะอ่านมากกว่า “จำนวน”
กฎของเขาคือ เขาจะอ่านหนังสือเล่มที่คิดว่าเขาจะอ่านจนจบได้เท่านั้น หากเปิดแสกนดูแล้วรู้สึกครึ่งกลางๆ ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเล่มนั้นดีที่สุด เขาเลือกที่จะไม่อ่านเลยดีกว่า นั่นเพราะเขารู้ว่าสินทรัพย์ที่มีค่าสูงสุดของชีวิตยิ่งกว่าเงินทองมากมายของเขาก็คือ “เวลาชีวิต” อันจำกัด
ก่อนจากกันไปอยากฝากให้คิดต่อ…
หากวันนี้คุณเริ่มเห็นความสำคัญของการลงทุนความรู้
– กฎสองข้อแรก อ่านให้มาก อ่านให้เร็ว ช่วยคุณได้
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตการอ่าน
กฎอีกสองข้อ คือ อ่านอย่างมีคุณภาพ และอ่านให้เชื่อมโยงและจดจำได้จะเป็นตัวปลดล๊อคคุณให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้นหนึ่ง
มาเถอะครับ มาค่อยๆ สะสมความรู้ให้ต่อยอดงอกเงย
เราพูดถึงการออมเงิน เราพูดถึงการลงทุน แต่เหนือสิ่งอื่นใด…ก่อนจะรุ่มรวยภายนอกได้มากมาย เราต้องเริ่มจากการรุ่มรวยจากภายใน…จากวิธีคิด
เพราะสำหรับคนที่มีวิธีคิด มีแว่นตา มีความรู้ ต่อให้เราพรากความสำเร็จ พรากเงินทอง และโอกาสทุกอย่างจากชีวิตเขาไป แต่เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ด้วยพลังอำนาจของความรู้ที่เขามี
มาทำให้กองหนังสือสูงสิบชั้นของคุณเป็นกองหนังสือที่มีคุณภาพ…เป็นกองหนังสือที่คุณสามารถใช้ก้าวย่างและต่อยอดไปสู่อนาคตที่เจริญงอกงาม
คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน