เครดิทภาพ สถาปัตยกรรม "The Thinker" ถ่ายโดย J. Smith for GPTMC
ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อบส์ เคยพูดไว้ว่า “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ” (stay hungry stay foolish)
.
นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ระดับตำนานผู้นำพามนุษย์ชาติเข้าสู่ยุคสมัยใหม่เคยเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นแค่ “เด็กน้อยที่เล่นเปลือกหอยตามชายหาด และแทบไม่ได้รู้หรือเข้าใจในความลับของธรรมชาติเลย”
.
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเจ้าของ Facebook พูดไว้ว่า “ไอเดียมันไม่ออกมาดีสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรกหรอก แต่มันจะค่อยๆเริ่มแหลมคมและชัดเจนขึ้นเองเมื่อคุณเริ่มลงมือทำมัน ทั้งหมดที่สำคัญก็คือ คุณต้องเริ่มต้นแค่นั้นเอง”
.
ตอนที่มีคนถาม Elon Musk ชายผู้จะพามนุษย์ชาติไปอยู่อาศัยบนดาวอังคารว่าคุณเคยคิดว่าคุณจะล้มเหลวไหมตอนที่การทดสอบจรวด Falcon ของคุณเกิดการระเบิดซํ้าๆ ในช่วงแรกของการก่อตั้ง SpaceX เขาตอบว่า “ถ้าบางสิ่งสำคัญกับคุณมากพอ คุณก็จะลงมือทำมันอยู่ดี แม้ว่าจะมีโอกาสสูงที่มันจะล้มเหลวก็ตาม”
เบื้องหลังคำกล่าวของคนระดับโลกพวกนี้มีอะไรที่เหมือนกัน ?
The invention of wisdom.
ปัญญา…คำพูดยากๆหรูหรา และดูสูงส่ง และแน่นอนว่า ไม่มี “ปัญญา” ที่อยู่นอกเหนืออารยธรรมมนุษย์
พูดให้ง่ายกว่านั้น “ปัญญา” จึงเป็นสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้น เป็นสิ่งนามธรรมจับต้องไม่ได้…แต่เป็นชุดความคิดความเชื่อที่สามารถนำทางเผ่าพันธุ์มนุษย์มาถึงทุกวันนี้
ก่อนที่เราจะถลำลึกลงไปในความหมายของคำว่าปัญญาไปมากกว่านี้ ผมอยากจะชวนไปดูปรากฎการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าทำไม สิ่งที่จับต้องไม่ได้นี้จึงสำคัญกับเผ่าพันธุ์ของเรามากนัก และเราจะเริ่มจากคำถามอันเรียบง่ายว่า
“ทำไมปัญญาจึงสำคัญ ทำไมปัญญาจึงมีพลังพลิกโลก”
และคงจะไม่มีช่วงไหนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา จะเหมาะไปมากไปกว่าช่วงราวๆ ปี ค.ศ. 1500 อีกแล้ว
หนึ่ง ลองจินตนาการว่าถ้าเราจับชาวนาคนหนึ่งในสมัยโบราณซักประมาณ ปี ค.ศ. 1000 ข้ามกาลเวลามาโผล่ ปี ค.ศ. 1500 นั่นคือการข้ามเวลามา 500 ปี ผู้อ่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ ชาวนาคนนั้นจะรู้สึกอย่างไร…. จอบ พลั่วบ้านเรือน แน่นอนว่าชาวนาคนนั้นอาจจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นรูปร่างของเกวียนเปลี่ยนไปนิดหน่อย ระบบการเมืองและอาณาเขตการปกครองรวมถึงค่าเงิน ราคาสินค้าที่อาจไม่เหมือนเดิม ผู้คนแต่งตัวแปลกตาไปนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว อะไรๆก็คล้ายๆเดิม ความเปลี่ยนแปลงนั้นมีก็จริง แต่ไม่ได้มากมายจนเรียกได้ว่าพลิกฝ่ามือ
คราวนี้เอาใหม่…ลองจินตนาการอีกสถานการณ์หนึ่ง
สอง หลังจากปราบไฮดร้าได้สำเร็จ กับตันอเมริกาเครื่องบินตก ถูกแช่แข็งนาน 70 ปีกว่าจะถูกค้นพบอีกครั้ง หลงจากตื่นขึ้นมาในโลกปัจจุบัน หากใครดูหนังคงจะพอจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกับตันสตีฟ โรเจอร์ของเรา วิ่งประสาทแตกมาใจกลางไทม์ สแควร์ของมหานครนิวยอร์ก…ตึกระฟ้า รถยนต์วิ่งขวักไขว่ ป้ายไฟบิลบอร์ด สมาร์ทโฟน ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากในระยะเวลาอันสั้น ทำไมช่วงเวลาเพียง 70 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงราวๆ ปี ค.ศ.1940s-ปัจจุบัน โลกถึงได้พลิกไปมากถึงเพียงนั้น
.
ผู้อ่านคงจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องมี “บางสิ่ง” ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวที่ทำให้ศักยภาพในการพัฒนาการทางเทคโนโลยีก้าวกระโดดมากๆ ในช่วงท้ายๆ ของประวัติศาสตร์มนุษย์ จนกระทั่งวันนี้วงล้อของการเปลี่ยนแปลงก็ยังคงหมุนไปด้วยอัตราเร่งที่มากกว่าที่เคยเป็นมาเสียด้วยซํ้า
น่าแปลกที่ “สิ่งนั้น” ไม่ใช่เพราะว่าคนยุคปัจจุบันมีมันสมองที่ลํ้าเลิศขึ้นจนคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีอะไรได้มากมาย เพราะโดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์ยุคปัจจุบันยังคงมีชุดของรหัสพันธุกรรมที่ไม่ได้ต่างจากเมื่อ 70,000 ปีก่อนที่โลกได้ให้กำเนิดมนุษย์ที่ไม่ได้มีความแตกต่างทางชีวภาพจากพวกเราเลย
.
สิ่งนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ ทว่าคือชุดของความคิด ระบบวิธีการมองโลก
หรือ “ปัญญา” รูปแบบใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1500 นั่นเอง
และชุดของปัญญาที่เรากำลังพูดนั้นก็คืออะไร เราต้องไปดูก่อนว่าก่อนหน้านั้นมนุษย์มีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับความรู้
.
ก่อนหน้าปี ค.ศ. 1500 มนุษย์ไม่ค่อยจะยอมรับเลยว่ามีสิ่งที่เผ่าพันธุ์ของเราไม่รู้ โดยมีสมมุติฐานสองข้อคือ
1.คำถามสำคัญๆที่เราไม่รู้ สามารถหาคำตอบจากผู้รู้หรือปราชญ์ในยุคนั้นๆ ซึ่งอาจหมายถึงคำอธิบายของศาสนา เช่น จุดกำเนิดของโลกทางศาสนาคริสต์
2.มีคำตอบของคำถามสำคัญๆ ในโลกหมดแล้วในระบบความรู้ของมนุษย์ชาติ แต่ถ้าเราเริ่มสงสัยในคำถามกระจ้อยร่อยไร้สาระ (ในสายตาของชุดปัญญาในยุคนั้น) อย่าง ทำไมนกกระจอกเทศต้องมีปีกทั้งๆที่บินไม่ได้ ทำไมอุจาระต้องมีสีเหลืองในเมื่อเราไม่ได้กินอะไรสีนั้นเข้าไปซักหน่อย… คุณจะถูกตอกกลับโดยผู้รู้ว่า ไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะ แต่มันไร้สาระเกินกว่าระบบความรู้ในสังคมหรือในศาสนาจะให้ความสนใจ เลิกสงสัยเสียเถอะ!
นั่นหมายความว่าก่อนปี ค.ศ. 1500 เราเชื่อว่า “มนุษย์ได้รู้ทุกอย่างที่สำคัญไปหมดแล้ว”
เป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับคนในปัจจุบันที่ได้ยินเสมอๆ ว่า “เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง เราก็จะหยุดเรียนรู้”
มันคือความย้อนแย้งที่ว่า คนที่รู้และเข้าใจโลกมากที่สุดกับเชื่อว่าตัวเองไม่รู้อะไรมากที่สุด
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองรู้และเข้าใจโลกมากที่สุด กับเป็นผู้ที่จริงๆแล้วแทบไม่ได้เข้าใจโลกเลย
.
ลองดูรูปสมการเพื่ออธิบาย law of general relativity นี้
บนดาวเคราะห์สีนำ้เงินในปัจจุบันนี้มีกี่คนที่เข้าใจสมการนี้…
โลก จักรวาล ธรรมชาติ ไม่เคยไม่ซับซ้อน
และ ณ จุดนั้นเอง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ Homo sapient ที่แยกสายออกมาเป็นอิสระของสายพันธุ์ตัวเองเมื่อ
200,000 ปีที่แล้ว เริ่มตระหนักรู้ชุด “ปัญญา” ใหม่…ที่ทรงพลังและอ่อนน้อม ในคราวเดียวกัน และปัญญาที่ว่านั้นก็คือ
“ปัญญา” ที่อนุญาตให้เรายอมรับว่า “เราไม่รู้อะไรเลย”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษย์ชาติไปตลอดกาล…เมื่อมีกลุ่มคนจำนวนมากเรื่อยๆที่ยึดถือแนวคิดอันถ่อมตนต่อโลกธรรมชาตินี้ เมื่อมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ยอมรับถึงความเดียงสาต่อโลกธรรมชาติรอบๆตัว ก็เป็นเวลาเดียวกันที่กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มตั้งคำถาม สังเกต ทดลอง พูดคุย ถกเถียง ประกอบสร้าง ชุดความรู้ใหม่ๆ โดยมีคณิตศาสตร์และความสงสัยใคร่รู้อันไม่หยุดหย่อนเป็นตัวถักทอศาสตร์ใหม่นี้ขึ้นมาในนามของ “วิทยาศาสตร์”
I do not know what I may appear to the world; but to myself I seem to have been only like a boy playing on the seashore, and diverting myself in now and then finding a smoother pebble or a prettier shell than ordinary, whilst the great ocean of truth lay all undiscovered before me.
ผมไม่รู้หรอกว่าโลกมองผมด้วยสายตาแบบไหน แต่สำหรับตัวผมเองแล้ว..ผมก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่บนชายหาด วิ่งเล่นไปทางนู้นที ทางนั้นที…แล้วก็เผอิญไปเจอก้อนกรวดงามๆ หรือไม่ก็เปลือกหอยลายสวยพิเศษกว่าปกตินิดหน่อยๆ…ในขณะที่เบื้องหน้าเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้แห่งความจริงอันลึกลับกว้างใหญ่ที่ยังไม่มีใครค้นพบ และผมก็เป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนนั้น
– Isaac Newton –
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ จึงเริ่มต้นขึ้น ณ จุดที่มนุษย์ชาติประกอบสร้าง “ปัญญา” รูปแบบใหม่ขึ้นมานั้นเอง
เมื่อมาย้อนมองดูภาพรวมทั้งหมดก็จะพบความสัมพันธ์พิเศษอย่างหนึ่งระหว่างความสัมพันธ์ของ
1.โลกภายใน โลกทางความคิด บ่อเกิดทางปัญญา
และ
2.โลกทางวัตถุ นวัตกรรม เทคโนโลยี พัฒนาการของมนุษย์ชาติ
ผลก็คือ:เมื่อขอบฟ้าของโลกภายในเปิดกว้าง ศักยภาพในการสรรค์สร้างก็ย่อมผลิดอกออกผล…สิ่งที่กับตันอเมริกาต้องทึ่งไม่ใช่แค่เพียงโลกวัตถุภายนอกที่แปรเปลี่ยน แต่เป็นรากที่แท้จริงของสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในหัวสมองของชุมชนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างหาก
นี่คือความสัมพันธ์ที่เป็นปรากฎการณ์ระดับสายพันธุ์ของเรา แต่ถ้าเราพิจารณาดีๆ เราจะพบว่าหลักการนี้ไม่ได้แตกต่างกันในการเอามาประยุกต์ใช้ในระดับบุคคล
โลกเปลี่ยน เมื่อความคิดของคนในสังคมเปลี่ยน
ถ้าเราอยากเปลี่ยน…มันก็เริ่มจากความคิดเช่นกัน
จากตัวอย่างของคนสองคน ชาวนา และกับตันอเมริกา…ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงในโลกปัจจุบันอธิบายได้ด้วย
Moore’s law
ที่กล่าวไว้ว่าพลังของคอมพิวเตอร์และการเติบโตของเทคโนโลยีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุกๆ 2 ปี
เราจะไม่พูดถึงกรณีของชาวนาในปี ค.ศ. 1000 เนื่องจากเป็นยุคที่มนุษย์ยังไม่ยอมรับ “ความไม่รู้” ของตัวเอง ทว่าในกรณีของกับตันอเมริกานั้นต่างออกไป…เพราะเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ไปแล้ว
70 ปี นับตั้งแต่สงคราวโลกครั้งที่ II จนกระทั้งกับตันตื่นขึ้นในโลกปัจจุบัน: กับตันยังผวา
แล้ว 70 ปี ต่อจากนี้ ไปยังโลกอนาคตจะเป็นเช่นไร ?
คำตอบอย่างสั้นด้วยกฎของ Moore’s law บอกเราว่า “การเปลี่ยนแปลง” จะเร็วขึ้นอย่างมหาศาล
ถ้าเราเคยใช้เวลาคิดค้นวิจัยวัคซีนด้วยระยะเวลา 5 ปี ในยุคปัจจุบัน
เราจะใช้เวลาเวลาน้อยลงมาก ในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้วยพลังทวีคูณในการคำนวนที่เพิ่มขึ้นถึง 32 เท่า!!!
ชุดความรู้ ชุดปัญญา ชุดความคิด กรอบแว่นตาในการทำความเข้าใจโลกในยุคปัจจุบัน เริ่มมีปัญหาในการติดตามความเร็วของโลกที่หมุนไป หากพูดให้ง่ายกว่านั้นคือ “คนเราจะตกยุคกันเร็วมาก” หากไม่เปิดใจยอมรับและเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆด้วยฐานคิดที่อ่อนน้อมว่า “โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว”
ในสังคมไทย…
ในยุคสมัยหนึ่ง สูตรสำเร็จของชีวิตอาจเป็นการตั้งใจเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
จบมามีงานทำที่ดีในสายอาชีพที่ได้รับการยอมรับและมีงานรองรับแน่นอนอย่าง หมอ วิศวะ บัญชี นักกฎหมาย
ในขณะที่โลกยังคงหมุนไปด้วยอัตราเร่ง…
เทคโนโลยีใหม่เริ่มย่างกรายเข้ามา AI technology เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นได้ชัด
อาชีพที่เราเคยเชื่อว่าต้องใช้มนุษย์เท่านั้นในการทำงานอย่างนักรังสีวิทยา ที่วินิจจัยฟิล์ม X-ray ต้องฝึกฝนตัวเองเก็บประสบการณ์เป็นเวลาหลายปี เพื่อแยกแยะระหว่างชิ้นเนื้อปกติและเนื้อเยื่อมะเร็งระยะต่างๆ ที่อาจคุกคามต่อชีวิต
ล่าสุด AI technology +Machine Learning technology+Big data technology ทำให้เราสามารถสั่งการให้โปรแกรมสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองจากฐานข้อมูลภาพ X-ray จำนวนมหาศาล…และมันก็ยิ่งแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ
รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car) ที่พัฒนาโดยบริษัท google เริ่มให้ทุนหนาเตอะ กับ software engineer ที่มีค่าตัวสูงลิบลิ่ว
.
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ จะเกิดอะไรกับคนที่ยึดอาชีพขับรถมาทั้งชีวิต ในโลกที่หมุนเร็ว จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 10 ปี 20 ปี ข้างหน้า อาจไม่มีใครตอบได้เพราะโลกเป็นระบบที่นักปรัชญาเรียกว่า highly chaotic system ที่มีความกลลาหลอย่างใหญ่หลวง
และนี่เองคือจุดที่อาจถึงเวลาแล้วสำหรับปัญญาชุดใหม่ๆ…เราไม่อาจยึดถือสิ่งที่เคยคิดเคยเชื่อ….เราไม่อาจยึดเอาคำแนะนำของผู้อาวุโสมาเป็นสรณะ เข็มทิศชีวิต ได้อีกต่อไป (โดยไม่ตั้งคำถาม)
.
และนี่อาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ตัวเล็กๆทุกคนจะเริ่มกลับมายอมรับถึงความไม่รู้ ยอมรับในความอ่อนหัด ว่าตัวเองคือผู้เข้าใจโลกดีแล้ว มันอาจถึงเวลาที่เราจะเริ่มออกตามหา “ปัญญา” ชุดใหม่ๆ …
ปัญญาที่บอกเราว่าถึงเวลาที่เราจะ “ปฎิวัติวิทยาศาสตร์” ในตัวเองอย่างแท้จริง
เมื่อรู้ ว่า “ไม่รู้” จึงเริ่ม “หาความรู้” เพื่อ “รู้” ให้มากขึ้นว่าตัวเอง “ยังรู้น้อยนัก”
ในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอาจย้อนมาขอบคุณตัวเองที่วันนี้ที่ตัดสินใจประกอบร่าง สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่
ขอบคุณตัวเองที่กล้ามากพอที่จะตั้งคำถามสำคัญๆกับชีวิต ขอบคุณที่ไม่กระหยิ่มยิ้มย่องว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง
ขอบคุณตัวเองที่ Reinvent ตัวเองขึ้นมาใหม่ บนโลกที่ไม่เคยหมุนช้าลง
ในความเร็ว มีความช้า
ในความช้า มีความเร็ว
จงหาสมดุลและที่ทางของตัวเองในโลกสมัยใหม่ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
.
แล้วย้อนมาขอบคุณตัวเองจาก “อนาคต” ที่เรากล้าเปลี่ยนตัวเอง “ในวันนี้” เหมือนที่เราเคยเป็นหนี้บรรพบุรุษที่ สร้างสรรค์ปัญญาในการยอมรับในความไม่รู้ เมื่อเกือบ 500 ปีมาแล้ว
ปล.จากหลักฐานที่ขุดพบของนักโบราณคดีจวบกระทั่งปัจจุบัน ได้ข้อสรุปว่าสายพันธุ์ของเราเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 แสนปีก่อนในทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทว่าเมื่อ 7 หมื่นปีก่อนสายพันธุ์ของเราได้รับการหยิบยื่นของขวัญจากการทอยลูกเต๋าของพระเจ้าอีกครั้ง เมื่อเกิดความบังเอิญของการกลายพันธุ์ทางสารพันธุกรรมทำให้มนุษย์มีศักยภาพทางสมองในการคิดสร้างสรรค์และจินตนาการมากขึ้นอย่างมหาศาล ในช่วงเวลาดังกล่าวเราเริ่มค้นพบหลักฐานการสร้างสรรค์ของศิลปะ ความเชื่อทางศาสนา เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงชุดของปัญญาโบราณ โดยเราเรียกปรากฎการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้ว่า การปฎิวัติของสมองทางความรู้ความคิด หรือที่เรียกว่า Cognitive revolution นั่นเอง
คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน
อ้างอิง
1.หนังสือ Sapiens a brief history of humankind
2. บทความ The AI Revolution: The Road to Superintelligence
3.หนังสือ Future : ปัญญาอนาคต
4. หนังสือ Rise of the Robots: Technology and the Threat of a Jobless Future
5.Moore’s law – Wikipedia