วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการตั้งเป้าหมาย สำหรับบทความวันนี้ผมเกิดไอเดียว่าอยากจะให้มันมีลักษณะเป็น manual ที่ผู้อ่านจะสามารถ follow ตามได้ในการที่จะค้นหาเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการของเราจริงๆ เป้าหมายที่จะสามารถ motivate เราได้จากส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นผมจะลองจินตนาการว่าเป็นการเขียนเพื่อคุยกับตัวเอง โดยระหว่างทางจะมีการสอดแทรกแนวคิดลงไปด้วยว่าผมมี principle หรือ mindset อะไรในการเลือกเป้าหมายบ้าง
มาเริ่มกันที่สิ่งพื้นฐานกันก่อน…ทำไมเราต้องตั้งเป้าหมายกันด้วย…ยอมรับว่าสมัยก่อนไม่มีคำถามในลักษณะนี้ เพราะมันก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าการตั้งเป้าหมายทำให้ชีวิตของเรามีบางสิ่งบางอย่างให้ไล่ล่า เป็นสิ่งที่คอยบอกเราว่าทุกเช้าที่ตื่นมาเราจะทำอะไร ไปเพื่ออะไร และผลลัพธ์ปลายทางของเราจะเป็นเช่นไร…เพราะฉะนั้นผมจะถือว่าคนอ่านบทความนี้ไม่ได้กำลังมาหาคำตอบว่าการตั้งเป้าหมายดีอย่างไร…แต่อยากจะรู้ว่าเป้าหมายที่ดีมีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง
ลักษณะของเป้าหมายที่ดี
1.สามารถมีพลังในการ motivate เราได้
นั่นคือความสามารถที่ทำให้เราหัวใจพองโต มีแรง มีพลังเมื่อนึกถึงมัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถ “pursuit of Goal” ได้ยาวนานมากพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้
ทว่าพลังที่ดี คือพลังแห่งทางสายกลาง…
2.ไม่ยากหรือไม่ง่ายจนเกินไป
ตามกฎ Goldilocks principle ที่กล่าวถึง “ความสมดุล” ของการตั้งเป้าหมายที่ ไม่ยากหรือไม่ง่ายจนเกินไป เพราะเป้าหมายที่ยากไปทำให้ใจท้อ ในขณะที่เป้าหมายที่เล็กเกินไปทำให้ไม่ท้าทายต่อมการอยากเอาชนะ
3.เป็นจิ๊กซอต่อจุดที่ดี
เป้าหมายเปรียบเหมือนเข็มทิศที่จะนำทางเราสู่อีกระดับของชีวิต เราทุกคนมีประวัติศาสตร์ เช่นนั้นแล้วเป้าหมายจึงเป็นของส่วนตัว ไม่มีใครบอกเราได้ว่าเราควรตั้งเป้าหมายอะไรบ้าง จะมีเราเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าช่วงจังหวะนี้ของชีวิต ด้วยการเติบโตในระยะที่อยู่ในปัจจุบัน เป้าหมายอะไรจะมาตอบโจทย์ให้เราได้พัฒนาตัวเองได้มากที่สุด และใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่เรามีอยู่แล้ว หรือเพื่อลบจุดอ่อนหรือปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงมานานที่คอยฉุดรั้งให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพ
เป้าหมายคือสิ่งที่จะทำให้เราประกอบสร้างตัวตนหรือเรียนรู้ในสิ่งที่ปัจจุบันเราขาด หากพูดตามหลักการแล้ว ก่อนและหลังการพิชิตเป้าหมาย เราจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเป้าหมายควรเป็นอะไรที่จะ…
4.ช่วยพัฒนาศักยภาพของเราได้
หากพิจารณาให้ดี เราได้ 3 สิ่งที่เป็นรูปธรรมจากการพิชิตเป้าหมาย
หนึ่ง รางวัลจากการพิชิตเป้าหมาย
สอง ความสุข และความหมายที่ได้ระหว่างการเดินทางไปพิชิตเป้าหมาย
สาม ตัวตนใหม่ที่เราประกอบสร้างขึ้นมา
เมื่อมองเช่นนี้แล้วเราไม่เพียงแต่ได้รับรางวัล แต่เราจะกลายเป็นคนใหม่เมื่อพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ เช่น การที่เราตั้งเป้าหมายว่าจะลงวิ่งมาราธอนให้ได้ตอนสิ้นปี แน่นอนว่านอกจากเราจะได้เหริยญรางวัล ได้ความฟินจากการเอาชนะร่างกายและจิตใจตัวเองตอนก้าวข้ามผ่านเส้น finish แล้ว …ระหว่างการเดินทางสู่ความฝันนี้ เราจะได้ฝึกตัวเองอีกหลายอย่าง ทั้งวินัยจากการฝึกซ้อม การบริหารจัดแบ่งเวลา ร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปเป็นร่างกายนักวิ่งที่มีปอด กล้ามเนื้อ หัวใจที่ทรงพลัง…และนี่อาจเป็นรางวัลที่แท้จริงของการพิชิตเป้าหมาย…นั่นคือรางวัลแห่งการเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม และเป้าหมายเป็นเพียงเป้าที่ตั้งไว้เพื่อ motivate เราเท่านั้น
แต่การที่เราจะเลือกเป้าหมายที่ดีนั้นก็ไม่ง่าย เพราะเป้าหมายที่ดีย่อมเกิดจากการเปิดใจเผชิญหน้ากับตัวตนของเราจริงๆ และนั่นอาจหมายถึงการจ้องตากับความกลัวหรือจุดอ่อนของตัวเอง
“เป้าหมายที่ทรงพลังจึงไม่ใช่เป้าหมายที่ง่าย แต่เป็นเป้าหมายที่ควรค่าพอที่เราจะลงแรงกำลังไปหมดทั้งใจเพื่อพิชิตมันเพราะเรารู้ว่ามันคือสิ่งที่มีความหมายกับเราจริงๆ แม้ระหว่างทางเป้าหมายนั้นจะทำให้เราเจอปัญหาอุปสรรคมากมาย”
เป้าหมายที่เราพูดถึงจึงต้องมีลักษณะเป็น…
5.เป้าหมายที่พาเราไปพบปัญหา อุปสรรค และการเติบโต
ไม่มีเป้าหมายใครเหมือนของใคร …แต่จุดร่วมอย่างหนึ่งของเป้าหมายคือมันพาเราจากจุด A ไปจุด B ซึ่งทั้งสองจุดไม่ได้อยู่ที่เดิม ไม่เช่นนั้นเป้าหมายก็ไม่ได้พาเราไปไหน แล้วเป้าหมายจะมีประโยชน์อะไรถ้ามันทำให้เราเดินยํ่าเป็นวงกลม
เรารู้ว่าเราจะไปไหน…แต่เราไม่รู้ในวันแรกหรอกว่าเราจะเจออะไรระหว่างทางบ้าง ความกล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จึงเป็นการท้าทายศักยภาพของตัวเราเอง นี่ทำให้โฟรโด แบ๊กกิ้นส์กล้าที่จะอาสาเอาแหวนแห่งอำนาจไปทำลายที่ปล่องไฟมอร์ดอ แม้รู้ว่าระหว่างทางจะต้องเผชิญกับสารพัดความชั่วร้ายที่จะมาหยุดยั้ง แต่หลังการเดินทางสิ้นสุดลงโฟรโดก็ไม่ใช่คนเดิมที่เรารู้จักอีกต่อไป…ผ่านการต่อสู้ ผ่านปัญหา ผ่านอุปสรรค เราย่อมเติบโตขึ้น ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่ขัดขวางความฝันอย่างที่เราคิด แต่กลับเป็นเครื่องมือช่วยให้เราพัฒนาตัวเองจนคู่ควรกับสิ่งที่เราฝันใฝ่ต่างหาก
หลายครั้งเรามองว่า “การพัฒนาตัวเองกับความสำเร็จ” เป็นของคู่กัน แต่บางครั้งก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างกรณีคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งได้รับเงินรางวัลจำนวนมาก เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ต้องอาศัยความสามารถ ทักษะ ความรู้ในการหาเงินปริมาณเดียวกัน อันไม่ใช่เรื่องง่าย และถ้าเขาทำสำเร็จ เราอาจเรียกเขาว่าผู้ประสบความสำเร็จทางการเงินได้เลย นั่นจึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมคนถูกรางวัลลอตเตอรี่จำนวนมากมักจะสูญเสียเงินเหล่านั้นไปภายในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ได้เอาไปสานต่อยอดเพื่อผลิออกดอกผลให้เกิดความยั่งยืน
นั่นคือปัญหา! เมื่อเราได้รับรางวัลปลายทางโดยไม่ได้ต้องผ่านความพยายามเลย เราไม่ได้พัฒนาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่คู่ควรกับความสำเร็จที่เราได้มาแบบโชคช่วย…เราอาจได้เงินมา แต่เราไม่อาจรักษาเงินไว้ได้…
ไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ปัญหาและอุปสรรค…ไม่ใช่แค่มุมมองโลกสวย แต่คือความเป็นจริงของชีวิตที่หยิบยื่นโอกาสผ่านปัญหาให้เราได้ฝึกฝนตัวเอง…ขอบคุณครับคุณครู ขอบคุณครับปัญหา …ยิ้มรับมันอย่างพึงใจ หากชีวิตไม่มีปัญหาใดๆ นั่นอาจหมายความว่าเราอาจเดินวนอยู่ที่เดิม
และเราไม่อาจปลุกปล้ำกับปัญหาได้นานพอ ถ้าหากเป้าหมายนั้นไม่ใช่…
6.เป้าหมายที่เราเลือกเอง
การทำเป้าหมายให้สำเร็จว่ายากแล้ว
แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือ “ความซื่อสัตย์กับเป้าหมาย” ของเราเอง
ไม่มียุคสมัยใดที่เราจะ “หลงทาง” ได้ง่ายเท่ากับยุคที่ข้อมูลและสื่อต่างประโคม
“ความสำเร็จสำเร็จรูป” มาให้เราเท่ายุคสมัยนี้
เราต้องเป็นอย่างนี้ถึงเรียกว่าประสบความสำเร็จ เราต้องเป็นอย่างนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ…นั่นคือการกล่อมเกลาของโลกการตลาดให้คุณไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ เราเหนื่อยเหลือเกินกับการไขว่คว้าไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อไล่ตามความสำเร็จที่อาจไม่ได้มีรากเหง้าแห่งคุณค่าและความต้องการที่ฝั่งลึกอยู่ในตัวเราอย่างแท้จริง
ผมชอบชื่อหนังสือที่อาจดูหยาบแต่จริงใจเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “The Subtle Art of Not Giving a F*ck” ของ Blogger ชื่อ “Mark Manson” ที่เตือนเราไว้ว่าเรา “Don’t give too many fuck for too many thing in life” คือการบ้าบอที่จะจะไขว้คว้าหาเป้าหมาย ความฝัน ความต้องการไปมากมาย โดยลืมย้อนคิดไปว่ามันใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือไม่…น่าแปลกที่หนังสือที่มีคนเรียกว่า Anti-how to Book แต่มันกลับขายดีมากๆ หรือเป็นเพราะว่ามันไปสะกิดต่อมคนร่วมสมัยที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกลึกๆ ว่าตัวเองไม่ดีพอ ความรู้สึกขาดและต้องเติมเต็มด้วยอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้บอกว่าเราควรจะ Don’t give a fuck to anything แล้วเข้าป่าไปเป็นฤาษี ตรงกันข้ามเลย…ผู้เขียนได้พูดถึงสิ่งที่สอดคล้องมากๆ กับหลักจิตวิทยาพฤติกรรมนั่นคือการรู้จัก Focus การไม่ Multitasking และเลือกที่จะทำแค่ “บางสิ่ง” ที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตเราจริงๆ ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เมื่อเราได้เลือก “เป้าหมายที่เราเลือกเอง” เหล่านั้นแล้ว ก็จงทุ่มแทพลังและแรงกายอย่างสุดใจ
เพราะแท้จริงแล้วชีวิตไม่ใช่การตามหาความสุขวันเดอร์แลนด์เหมือนบนสรวงสวรรค์…ความคาดหวังแบบนั้นมันไม่สอดคล้องกับโลกความเป็นจริง สำหรับคนที่ผ่านโลกมาซักพักก็คงรู้ดี แต่เราควรที่จะมองหาโจทย์ท้าทายที่เรารู้สึกควรค่าที่จะเสียหยาดเหงื่อ และบางครั้งอาจหมายถึงน้าตาไปกับมัน
อย่าไล่ตามความสุข แต่จงไล่ตามความทุกข์อันสุขสมที่เราเลือกเอง…
7.เป้าหมายที่สอดคล้องกับความเป็นจริง…เรายอมเสียเหงื่อ ลงทุนลงแรงกับเรื่องอะไรกันแน่
ใครๆ ก็อยากมีหุ่นดี แต่กี่คนที่ยอมลงทุนลงแรงออกกำลังกาย
ใครๆ ก็อยากมีงานในฝัน ได้ทำสิ่งที่มีความหมาย แต่มีกี่คนที่เริ่มวางแผนและลงมือทำมัน
ใครๆ ก็อยากจะประสบความสำเร็จ แต่มีกี่คนที่กล้าจ้องตากับจุดอ่อนและปัญหาของตัวเองเพื่อก้าวผ่านมัน
สุดท้าย การตั้งเป้าหมายใครๆก็ทำได้
แต่มีกี่คนที่จะยอมแลกอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้น
เพราะนั่นคือความจริงของโลกที่ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ คำถามที่ถูกต้องและสอดคล้องกว่าไม่ใช่
“คุณอยากได้อะไร เป้าหมายของคุณคืออะไร” แต่เป็น “อะไรบ้างที่คุณยอมแลกมาเพื่อเป้าหมายนั้น”
หากคุณมองหาอาชีพในฝันที่คุณมีความสุข 100 % กับงาน คุณจะหามันพบไหม…แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็น “งานอะไรที่เรารู้สึกว่า นี่แหละ!!! งานนี้แหละที่มีคุณค่า มีความหมาย มีความสุข และเป็นเป้าหมายที่ฉันยอมที่จะแลกหลายๆสิ่งเพื่อมัน” นี่แหละครับความเป็นจริง…
งานในฝันของคนหนึ่งคนอาจจะเป็นฝันร้ายของอีกคน…ยกตัวอย่างเช่นการเป็นนักเขียน นักเล่าเรื่อง คุณจำเป็นต้องทำการบ้านหนักมากในสิ่งที่คุณจะเขียน คุณต้องเข้าใจและรู้ลึกรู้จริง ไม่เช่นนั้นสิ่งที่คุณเขียนออกมามันจะสะท้อนออกมาเองว่ามันไม่ได้สร้างคุณค่าเพิ่มเติม และก็เป็นแค่บทความที่ใครๆก็เขียนได้…ในท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ต้องทำงานหนักในทุกขั้นตอนอยู่ดี…แต่นี่ก็คืองานที่ผมเลือก คืองานที่ผมทำแล้วรู้สึกว่าชอบและได้ใช้ศักยภาพ ความถนัด ความสนใจ
มันมี pain มันมีปัญหา ในทุกเป้าหมายที่คุณเลือกเดิน แต่ถ้ามันเป็นความเจ็บปวดที่เราเลือกเองแล้วว่ามีคุณค่า…มันจะกลายเป็นความเจ็บปวดที่มอบความสุขให้เราอย่างเหลือเชื่อ
เคยมีคนถาม Elon musk ว่า คุณเคยท้อบ้างไหมตอนที่การทดสอบจรวด Falcon รุ่นใหม่ของคุณเกิดการระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุณเคยคิดบ้างไหมว่าคุณจะล้มเหล็ว…Elon Musk ตอบไปว่า
“อันที่จริงผมคิดจริงๆนะว่า มีโอกาสสูงมากที่โปรเจกนี้ของผมจะล้มเหล็ว แต่ถ้าสิ่งใดมีคุณค่า ความหมาย และสำคัญกับคุณมากพอ คุณก็จะลงมือทำมันอยู่ดีแม้ว่ามีโอกาสสำเร็จเพียงหยิบมือ”
ก็เท่านี้แหละครับผมสำหรับลักษณะของเป้าหมายที่ดี ผ่าน deep reflection และการทำการบ้านพร้อมกับการเผชิญหน้าความกลัวที่อยู่ในความฝันของผู้เขียนเอง…
แต่ก็อย่าให้ความกลัวนั้นมาหยุดยั้งเราจากเป้าหมาย…เมื่อเรารู้แล้วว่าเป้าหมายที่ดีเป็นอย่างไร บทความหน้าเราจะมาศึกษากันต่อว่า “วิธีการเลือกและตั้งเป้าหมายที่ดี” ควรจะต้องมีกรอบความคิดอย่างไรบ้าง
จงออกไป struggle กับโจทย์ยากในชีวิตที่คุณเลือกเอง…แด่ผู้เดินทางไกลทุกคน
คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน