Loading

wait a moment

เหนื่อยไหมพวกเรา: คำสาปความสำเร็จของเด็ก Gen Y

คำสาปความสำเร็จ web cover
รูปจาก wired.com

ในขณะพักเที่ยงของวันทำงานธรรมดาวันหนึ่ง…

เป็นประจำที่เราจะเริ่มเอามือถูไถไปบนหน้าจอมือถืออันคุ้นเคย

ไอคนนี้ก็เพื่อนสมัยมัธยม เฮ้ยยมันดูดีขึ้นนะ เมื่อก่อนหน้าตาไม่ได้เป็นอย่างนี้

เลื่อนไปอีกไม่กี่ปาด…อ้าวเฮ้ยเพื่อนร่วมคลาสคนนี้ไปอยู่เมกาตั้งแต่เมื่อไหร่

ยังไม่จบ…เพื่อนร่วมภาควิชาคนที่เราเคยติวหนังสือให้ก่อนสอบเป็นประจำเพราะมันเกรดไม่ดี

มันกลับไปช่วยกิจการที่บ้าน ดูชีวิตดี อนาคตเรืองรอง

.

ใช่หรือไม่ว่าเราเคยเป็นแบบนี้ เราถามตัวเองว่าอะไรคือความสำเร็จ ชีวิตมีอะไรมากกว่านี้ไหม

อะไรที่มากกว่าการตอกบัตรเข้างานตอนเก้าโมงเช้าแล้วเลิกห้าโมงเย็น

อะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า ประสบความสำเร็จ

 

มิลเลนเนียล

มิลเลนเนียล

 

ไม่ต้องนั่งคิดเองเออเอง เพราะสถิติบอกกับเราว่าเด็กรุ่นใหม่ เด็ก Gen Y   ,  millenial กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปีค.ศ. 1970 ถึง กลางๆ 1990

ล้วนมีพฤติกรรมที่แปลกแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ไม่ปฎิเสธว่าคนรุ่นไหนๆ ก็ต้องการความสำเร็จ แต่ไม่มีช่วงเวลาใดมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่หนุ่มสาวคาดหวังความสำเร็จที่ง่ายและเร็วเท่ากับยุคนี้อีกแล้ว นี่ยังไม่นับรวมถึงการตั้งคำถามว่า ความสำเร็จคืออะไร แล้วความสำเร็จของแต่ละคน นิยามของมันจำเป็นต้องเหมือนกันหรือไม่

.

ที่ใดมีความคาดหวังที่นั่นมีทุกข์

นักปราชญ์ร่วมสมัยชาวอินเดียนาม OSHO  เคยกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า ‘อย่าได้ไล่ตามความสุข แต่จงมองให้เห็นว่าความสุขไม่ต่างจากสิ่งอื่นๆที่เป็นทวิภาวะ’

มีตะวันตก มีตะวันออก

มีแสง มีเงา

มีเกิด มีตาย

ในทารกมีความแก่ชราที่รอคอยการเผยตัวเมื่อเวลามาถึง

แต่ด้วยสายตาที่คับแคบของคนเราอาจทำให้มองเห็นความจริงเพียงด้านเดียว

และเมื่อใดที่เรามีความสุขจากสิ่งใดมา…ถึงที่สุดแล้วความสุขนั้นอาจเป็นรากของความทุกข์ในภายหลังได้หากเราไปยึดติดกับมัน

และสำหรับยอดเขาแห่งความสำเร็จที่ทุกคนมุ่งหวังล่ะ…เมื่อไปถึงแล้วเราจะทำอะไรต่อ

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า…ก็แค่หาเขาลูกต่อไปเพื่อปีนอยู่เรื่อยไปยังไงล่ะ

 

เทพซิซิฟัส Sisyphus
เทพซิซิฟัส (Sisyphu) ผู้ถูกสาปให้ต้องกลิ้งหินขึ้นสู่ยอดภูเขา เพื่อที่จะถูกหินหล่นมาทับแล้วต้องกลิ้งหินขึ้นไปใหม่ซํ้าแล้วซํ้าเล่าไม่รู้จบ

สมการความสุขอย่างง่าย

happiness=reality-expectation

จากสมการถ้าไม่คาดหวัง ก็จะไม่ผิดหวัง…และถ้ายิ่งหวังมาก แต่ความจริงไม่เป็นดังหวัง เราก็จะไม่มีความสุข

เราคงได้ยินประโยคนี้มาบ่อย แต่ในฐานะปุถุชนทั่วไปอย่างเรา คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่คาดหวังหรือวาดฝันกับสิ่งใดเลย และนั่นทำให้หลายๆครั้ง (สิ่งที่ดูเหมือน) ความสำเร็จของคนรอบตัว กลับทำให้เราเป็นทุกข์ คล้ายเป็นสิ่งตอกยํ้าว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หากไตร่ตรองดีๆ เราจะพบว่ามีสามปัจจัยหลักที่ดูจะเกี่ยวข้องและเป็นคำอธิบายว่าทำไม gen y  ที่แสวงหาความสำเร็จอย่างบ้าคลั่ง แถมยังอยากไปถึงตั้วแต่อายุยังน้อย แต่ลึกๆเรายังรู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอ

 

1.การเลี้ยงดู: เราถูกเลี้ยงดูจากคุณพ่อคุณแม่ Gen X ที่ถูกเลี้ยงดูจากคุณปู่คุณย่า Baby Boomer ยุคสงครามโลก ซึ่งมีค่านิยมในการทำงานหนักและมุ่งสู่ความสำเร็จ จนมาพร้อมกับการกระเพื่อมออกของคนชั้นกลางจำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคือเด็กที่ถูกปลูกฝังว่าทุกอย่างเป็นไปได้ซึ่งไม่แปลกที่พวกเขาคิดเช่นนั้นเพราะปรากฎการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วงนั้นทำให้พ่อแม่ Gen x เติบโตขึ้นจากความขยันและทำงานหนักและได้ประสบความสำเร็จ(อย่างน้อยก็ทางการเงิน) อย่างไม่คิดฝันว่าจะทำได้มาก่อนเมื่อเทียบกับพ่อแม่ Baby Boomer ของพวกเขาที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจหลังสงคราม

และแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลให้คำพูดกรอกหูว่า ‘you are special’ ตกทอดมายังคน Gen Y  และเราเชื่อในสิ่งที่พ่อแม่บอกว่าเราเป็นซะด้วย

2.ยุคสมัยและเทคโนโลยี: ไม่เคยมีช่วงไหนในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เราจะมีตัวเลือกมากมายเท่าตอนนี้ มีงานศึกษาว่าคนยุคก่อนเลือกคู่เพื่อลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวจากคนที่อยู่ในละแวกบ้าน…แต่ตอนนี้เราพอจะจินตนาการออกไหมว่าเราชอบคนแถวบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน ? นั่นคือคำตอบว่าทำไมแอพหาคู่ถึงได้เยอะแยะมากมาย เพียงแค่ปัดซ้ายปัดขวา ถ้าไม่ดีก็หาใหม่ ความคาดหวังเราสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะ “เราเลือกได้” นั่นเอง

ความสะดวกสบายที่พร้อมพรั่งกับตัวเลือกที่มากมาย หล่อหลอมให้บางครั้งพวกเราก็ความอดทนตํ่าไปหน่อย และเริ่มแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า ‘instant gratification’ หรือแปลเป็นไทยว่า ‘ความสุขสมแบบเร่งด่วน’ 

เมื่อเราผิดหวังจากเรื่องยากๆในชีวิต เรามุ่งหาอะไรที่มันฟินได้ง่ายๆ อย่างการเห็นยอดไลค์ อย่างอาหารขยะ ซึ่งมันจะไม่เป็นปัญหาะไรเลยถ้านิสัยเหล่านี้ไม่ลุกลามมาด้านอื่นในชีวิตอย่างการงานอาชีพ (อายุการทำงานเฉลี่ยของเด็กรุ่นใหม่สั้นลงทุกปี) ที่ต้องอาศัย a years of fucking hard work to make a real different. บางครั้งอาจหมายถึง sweat, pain, diappointment หลายๆครั้งเมื่อถามว่าทำไมถึงออกจากงาน คุณจะได้ยินคำว่า ‘i want to make an impact’

เช่นกันกับเสียงบ่นเล่าอ้างว่าเด็กสมัยนี้ไม่อดทน มีปัญหานิดหน่อยก็ลาออก ซึ่งสถิติก็บ่งบอกเช่นนั้นจริงๆ

3.โซเชียลมีเดีย: โซเชียลเปรียบเหมือนเวทีที่เราเป็นผู้กำหนดการแสดงที่หาได้สะท้อนความเป็นจริง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเลือกเปิดเผยเฉพาะโมเม้นทางบวกมากกว่าทางลบให้คนอื่นเห็น…เพื่อนเค้าไปถึงไหนกันหมดแล้ว ทำไมถึงปีนเขาไม่เก่งเหมือนใครเขากันนะ เรามองผู้อื่นแล้วกลับมามองตัวเอง ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากบอกกับเราว่าการเล่นโซเชียลมากไปสามารถทำให้เราไม่มีความสุขได้เลยทีเดียว

 

เมื่อขมวดปมทั้งหมด มันหมายความว่าอย่างไร

สามารถสรุปได้ในรูปเดียวด้านล่างนี้…

 

Why Generation Y Yuppies Are Unhappy
Why Generation Y Yuppies Are Unhappy

 

เราถูกบอกว่าเราพิเศษ…และทุกๆ คนก็ถูกบอกเช่นนั้น

เราวาดฝันในวัยเด็กว่าเราสามารถได้ทุกสิ่งและเป็นได้ทุกอย่างที่เราต้องการ…เพื่อมารู้สึกอกหักเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน

เมื่อสายตาล้าและเคร่งเครียด เราเหม่อมองไปในโซเชียล

เราคิดว่าทุกคนก้าวหน้าไปมากมาย และทิ้งเราไว้ข้างหลังอยู่คนเดียว

ทั้งๆที่ความจริงพวกเขาเพียงแสดงด้านบวกผ่านโซเชียล…การเปรียบเทียบจึงทำให้เรารู้สึกด้อยและไม่เคยพอใจในตนเอง

เราอยู่ในยุคที่มีทางเลือกหลายหลาก…แต่ความสำเร็จยังคงต้องการการลงแรงและทำงานหนัก

เราเจอค่านิยม ‘รีบสำเร็จ’ แต่เราตอบไม่ได้ว่าเมื่อเราสำเร็จแล้วจะยังไงต่อ

เราแข่งกันเป็นวัยรุ่นพันล้าน ทั้งที่ๆ การสร้างสิ่งยิ่งใหญ่และมีคุณค่าต้องใช้เวลา  connection และ ประสบการณ์

การแพทย์รุดหน้าและเราอาจมีชีวิตเป็นร้อยปีๆ แต่เราแข่งกันประสบความสำเร็จกันก่อนอายุ 30

เราพร้อมจะ ‘วิ่งตามความฝัน’ แต่เราไม่เคย ‘ตรวจสอบความฝัน’

ในโลกทุนนิยม มีโลกการตลาด…และการตลาดไม่ได้ขายของ ทว่าขายอัตลักษณ์

เราอยากสำเร็จ รีบสำเร็จ และถูกทำให้อยากสำเร็จในมุมเดียวกันไปหมด

ด้วยสิ่งที่เขาว่ากันว่า ‘นี่คือความสำเร็จ’…ไม่ต่างจากอเมริกาที่มี American dream ในยุคสมัยหนึ่ง

 

ยอดเขาแห่งความสำเร็จ…ยอดเขาที่ไม่มีใครเหมือน

ก่อนจะนิยามความสำเร็จของตัวเอง… ผมอยากจะให้ผู้อ่านลองอ่านงานเขียนชิ้นสั้นๆ ของผมเองที่เคยบันทึกไว้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด นั่นคือก่อนเรียนจบและเข้าตลาดแรงงาน….สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับใคร แต่ก็ถือว่ามันมี message บางอย่างให้ได้ฉุกคิดถึงนิยามความสำเร็จของแต่ละคน

ยอดเขาที่ทรงคุณค่า
ยอดเขาที่ทรงคุณค่า…เธอเห็นคราบเหงื่อบนกระเป๋านั้นไหม…หากเดินขึ้นเขามันเหนื่อยนัก แล้วทำไมมีคนมากมายยอมปีนป่ายขึ้นไป…คงจะเป็นการโกหกที่จะบอกว่าเรามีความสุขเมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้วเท่านั้น

ยอดเขาที่ทรงคุณค่า

ช่วงนี้มันก็ดีนะ รอยต่อจากเรียนจบสู่โลกทำงาน
ในเฟสก็ได้เห็นเส้นทางชีวิตของแต่ละคนที่ค่อยๆ
แตกแขนงไปตามความฝันและความเชื่อของตัวเอง เส้นทางของคนเหล่านั้นอาจจะมีปัญหาและความท้าทายใหม่ๆ มากมาย
นอกหนือจาก ‘ตัวเลขเกรด’ ที่เป็นโลกทั้งใบ
ของใครหลายคนมาตลอดสี่ปีนี้…ไม่อีกแล้ว…
ไม่มีสูตรสำเร็จใดๆ มากำหนด ไม่มีหนังสือบังคับที่ต้องอ่านก่อนสอบ
โลกเปิดกว้างที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เดิมพันด้วยชีวิต เราเชื่อว่าหลายคนอาจสับสนและท้อแท้กับเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน
แต่เราก็มีความรู้สึกลึกๆ ว่าพวกเราเก่งและมีศักยภาพมากพอ
ที่จะไต่ยอดเขาที่ตัวเองคิดและเชื่อว่ามีคุณค่า
ยอดเขาของแต่ละคนอาจต่างกันไป…เธอจะรู้ได้อย่างไรว่ายอดเขาไหนดีกว่ากัน
เขานํ้าแข็งอาจจะดูหนาวเหน็บ….เขาป่าร้อนชื้นต้นไม้หนาทึบอาจจะดูลับแลอันตราย
แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นยอดเขาที่ ‘มีคุณค่า’ มากพอที่เราเลือกแล้วไม่ใช่หรือ
พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ทุกเช้า เลือดแรงกล้าสดใหม่ยังคงถูกสูบฉีด
อดีตไม่อาจจองจำผู้กล้า…นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แล้วเจอกันข้างบนนะหนุ่มสาวผู้มีฝันทุกคน
ยอดเขาที่ทรงคุณค่า
The Pathless Path วิถีที่ไร้เส้นทาง: ความพิเศษของ เต๋า คือแนวคิดที่ว่า ไม่มีหนทางสำเร็จรูปใดๆ ไปสู่การรู้แจ้ง แต่ละคนต้องเลือกและตัดสินใจออกเดินค้นหาเส้นทางของตัวเอง…เส้นทางที่หลากหลายที่นำไปสู่สิ่งเดียวกัน

 

 

มีปราชชาวจีนที่ผมจำชื่อไม่ได้เคยกล่าวประมาณว่า

“เมื่ออายุ 40 เราจะเริ่มนิ่งขึ้น เพราะเราได้ผ่านการลุยใช้ชีวิตไปพอสมควร ความฝันที่มีก็ลุล่วงไประดับหนึ่ง ความสุขและความทุกข์ก็เริ่มซํ้าและวนเวียน”

มันทำให้นํ้าที่เคยร้อนปุดๆ ในวัยหนุ่มเยือกเย็นลงไปบ้าง
และในความเยือกเย็นที่ว่าก็คือ “ธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ของเราทุกคน

ไม่ต่างจากผิวหนังที่เริ่มยานหย่อน…เมื่อผ่านฝน หนาวมาหลายขวบปี
จิตใจของเราที่ถูกกระทำด้วยประสบการณ์ก็เปลี่ยนไปไม่ต่างกัน

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราวาดภาพของคนแก่ชราเข้ากับความใจดีมีเมตตา
ที่ก่อเกิดจากการประสบกับชีวิตมายาวนาน
ทั้งที่ชีวิตกระทำกับเขา
และที่เขากระทำกับชีวิต

สิ่งเหล่านี้ได้มอบความหมายใหม่ของการเติบโตในแต่ละช่วงวัย
และคำถามที่ว่า
“อายุเท่านี้ คุณมีอะไรบ้าง คุณประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง”
จึงไม่ได้ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นคำถามประเภทที่คับแคบและขับเน้นอีโก้อีกต่อไป
.
คุณสำเร็จแล้วหรือยัง?

อายุเท่านี้คุณมีอะไรบ้าง?
.

หากใจกว้างพอ คุณจะมองเห็นว่า ‘ความสำเร็จ’ ที่ว่า
อาจไม่ใช่แค่สิ่งของ
อาจไม่ใช่สถานะ
แต่อาจรวมไปถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจคุณ ?

 

หากคุณเป็นคนที่ให้คุณค่าทางโลก
คำถามของคุณอาจหมายถึง บ้านหรือรถ

 

หากคุณเป็นคนที่ให้คุณค่าทางสถานะ
คุณอาจหมายถึงความสัมพันธ์ เพื่อนฝูง การแต่งงาน หน้าที่การงาน

 

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ผ่านโลก ผ่านร้อน ผ่านหนาวจนคุณค่าของคุณไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป….คุณอาจหมายถึงสิ่งอื่นที่อาจจับต้องไม่ได้อย่าง
ความพร้อมในการรับมือกับความตาย

 

คุณมีอะไรบ้าง ?
อาจเป็นคำถามที่ผมไม่อาจตอบแทนคุณ
แต่สุดท้าย ทั้งคำถามและคำตอบ จะเปรยออกมาว่าคุณให้คุณค่ากับสิ่งใดในชีวิต

 

คุณมีอะไร คุณสำเร็จแล้วหรือยัง อาจไม่สำคัญเท่ากับ…คุณนึกถึงอะไรเมื่อได้ยินคำถามนี้

เราเกิดมาตัวเปล่า เราไม่มีหรือไม่เป็นสิ่งใด
ความหมายจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง
และจะจางหายไปเมื่อเราสิ้นลม
ทว่าระหว่างสองสิ่งที่ว่านั้น…มีชีวิตของเราอยู่
เราจึงถูกสาปให้ค้นหาต่อไป…
เราเกิดมาทำไม…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่แน่นอนว่า  “ผมไม่เคยหยุดถาม”

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราล้วนมีความฝัน ความหวัง และนิยามความสำเร็จไม่เหมือนกันเลย ขอเพียงมีความอดทนและเข้าใจว่าทุกสิ่งต้องใช้เวลา ความสำเร็จในยุคนี้มีมากมาย มีหลายเส้นทางก็จริง แต่ไม่มีเส้นทางไหนที่จะเรียกได้ว่าง่ายดาย ในขณะที่ตามองที่ปลายยอดเขาแห่งความสำเร็จนั้น ก็อย่าลืมที่จะถามตัวเองว่านี่เป็นเขาที่ต้องการป่ายปีนหรือไม่

โลกนี้มีภูเขามากมาย และยิ่งมากขึ้นไปอีกในยุคสมัยแห่งตัวเลือกเช่นวันนี้ ยอดเขาที่มีค่าไม่ใช่เพราะมันมีค่าด้วยตัวมันเอง หากแต่เป็นเราที่มอบคุณค่าให้มัน และเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเขาลูกนี้มีคุณค่า มีความหมาย มีความงาม มีความจริง ต่อตัวเรามากพอ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะมีความอดทนฟันฝ่าไปยังยอดเหล่านั้น…เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมยุคสมัยที่กำลังป่ายปีน ไม่มีเขาลูกไหนดีไปกว่ากัน มีแต่ลูกที่เหมาะสมกับผู้ปีน

‘ตามองฟ้า เท้าติดดิน’

คาดหวังได้ แต่อย่าลืมก้าวเดินไปด้วยใจรักและมุ่งมั่น…เพราะความสวยงามหาได้อยู่แค่บนยอดเขา…ดอกไม้และเส้นทางสันโดษที่เราก้าวผ่าน…ก็งดงามมิใช่หรือ เป็นระหว่างทางต่างหากเล่าที่นักปีนเขาทุกคนต่างชื่นชมและนำมาบอกกล่าวคนรุ่นถัดไปถึงการเดินทางอันแสนมหัศจรรย์แห่งแรงบันดาลใจที่เริ่มต้นที่หัวใจของนักเดินทางแห่งชีวิตทุกคน

 

ณภัทร สงวนแก้ว
ณภัทร สงวนแก้ว

คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น และแชร์ไปยัง Facebook ของท่าน