เครดิทรูปภาพปกจากจากภาพยนต์เรื่อง MOANA จากค่าย Disney
พัฒนาตนเอง
Better Me: จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย…ที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เอาล่ะ! มายอมรับกันเถอะว่า เราทุกคนล้วนมีสิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตัวเองกันทั้งสิ้น
แต่มันก็คงไม่ง่ายนักอย่างที่เรารู้กัน…
ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวหรืองานวิจัยต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ ดูได้ง่ายๆจากกรณีของการตั้งปณิธานปีใหม่หรือ New Year’s resolution ที่มีมนุษย์จำพวกหนึ่ง (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ทำเป็นประจำจนเป็นเหมือนธรรมเนียมประจำปีไปเสียแล้ว แต่มีการศึกษาที่น่าสนใจและน่าตกใจไปพร้อมๆกัน
ผลสถิติออกมาว่า คนเกือบ 80% ล้มเลิกเป้าหมายที่ตั้งไว้ไปในสัปดาห์ที่ 6
นั่นหมายความว่าเรากำลังวางแผนโดยมีปลายทางเพื่อความล้มเหล็วไปอย่างนั้นหรอ???
และนั่นคือช่วงเวลาที่จิตวิทยาจะเข้ามาหาคำตอบ
จิตวิทยาพฤติกรรมมนุษย์
หลายๆ ครั้งเรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวตนภายในของเราจะมี คนสองคนที่อยู่ข้างใน
คนแรก คนที่มีสิติ รู้คิด วางแผนระยะยาว คำนึงผลได้ผลเสีย
กับอีกคน ที่เน้นความว้าวในปัจจุบันขณะ เน้นความฟินเอาไว้ เรื่องของพรุ่งนี้ก็ปล่อยเอาไว้พรุ่งนี้สิ (วะ!)
ซึ่งความเป็นจริงที่น่าสนใจก็คือ ???
อันที่จริงแล้ว เรามีสองตัวตนจริงๆ เป็นสองตัวตนที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเสียด้วย
และตัวตนเหล่านั้นก็มี “บ้าน” อยู่กันคนละที่ และบ้านที่พูดถึงก็คือ “สมอง” นั่นเอง
มาดูโครงสร้างสมองกัน
![THE EVOLUTIONARY LAYERS OF THE HUMAN BRAIN](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/04/brain_image-300x172.jpg)
สมองกิ้งก่า สมองหนู สมองลิง เรามีมันทั้งหมดอยู่ในกะโหลกของเรา
ภาพสมองสุดซับซ้อน…
มองครั้งแรกอาจจะงงงวน รอยหยัก รอยโค้ง ก้อนใหญ่ก้อนเล็ก และสิ่งละพันอันละน้อยที่มาประกอบกัน
ไม่เลย, เราไม่จำเป็นต้องจดจำศัพท์แสงชื่อเรียกส่วนต่างๆ นับร้อยพันของสมองเหมือนนักศึกษาแพทย์
แต่แค่อยากจะให้สังเกตแค่ว่า…หากมองสมองเป็นเหมือนบ้านที่ให้ตัวตนของเราแต่ละแบบอยู่อาศัย
เราจะแบ่งประเภทของบ้านออกได้เป็น 3 หลัง อย่างคร่าวๆ
บ้านสมองกิ้งก่า—แค่รอดก็พอ
เก่าแก่ที่สุด จำเป็นในการดำรงชีวิตพื้นฐาน ควบคุม หัวใจเต้น หายใจ เป็นต้น
บ้านสมองหนู—สมองแห่งอารมณ์ ฟินไว้ก่อน พ่อสอนไว้
ใหม่ขึ้นมาอีกนิด มีระบบให้รางวัล (reward system) เน้นความฟินในปัจจุบัน ไม่สนเรื่องอนาคต…เนยแข็งอร่อยจัง Yummy!
บ้านสมองลิง—สมองปราชญ์ ดึงสติ รู้คิด แต่ชอบพ่ายแพ้สมองอารมณ์
ถูกเพิ่มเข้ามาล่าสุดในสายวิวัฒนาการเลยทีเดียว มีความสามารถในการคิดใช้เหตุผล ประเมินความเสี่ยง
วางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้า
ตัวตนในแต่ละบ้านกำลังก่อสงคราม !!! เป็นสงครามภายในที่ไม่เคยจบ
![โฟรโด แบ๊กกิ้นส์](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/04/LordoftheRings06-1024x576-300x169.jpg)
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ลองมาฟังอีกเรื่องราวเก่าแก่…
หมาป่าสองตัวที่ทุกคนล้วนมี
![The Tale of Two Wolves](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/04/landscape-background-with-silhouettes-of-wolves_23-2147640245-300x300.jpg)
มีเรื่องเล่าเก่าแก่ของผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่กำลังสอนหลานเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ว่า
“ในตัวของเรามีสงครามภายในเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน”
“เป็นการต่อสู้อันร้ายกาจรุนแรงระหว่างหมาป่าสองตัว”
“ตัวแรกคือหมาป่าความชั่วร้าย—ความโกรธ ความอิจฉา ความทนทุกข์ทรมาณ ความหยิ่งทนง ความรู้สึกผิด ความละอายในตนเอง ความหลงตัวเอง การคิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และอีโก้”
“อีกตัวหนึ่งเป็นหมาป่าแห่งความดี—ความเพลิดเพลิน ความสงบ ความรัก ความหวัง ความผาสุข ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจ ความงามความจริง ความศรัทธา”
“การต่อสู้อันดุเดือดนี้เกิดขึ้นในตัวเธอและในตัวทุกคนๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “
หลังฟังจบ หลานชายนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “แล้วใครชนะล่ะฮะคุณตา”
ผู้เฒ่าตอบว่า “ก็ตัวที่เจ้าให้อาหารมันนั่นแหละ”
ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่
แล้วเราจะมาพูดเรื่องนี้กันไปทำไม ?
นั่นก็เพราะว่า ให้ตายเถอะ ช่วงหลังมานี้เราพ่ายแพ้แก่ตัวเองบ่อยเกินไปแล้ว
เรามัวแต่ให้อาหารหมาป่าแห่งความชั่วร้าย…และมันก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
กี่ครั้งแล้วที่เราคิดว่าจะลดน้ำหนัก แต่พอเดินผ่านร้านชาไข่มุกตอนบ่ายๆ ก็อดไม่ได้ซักที
ทั้งที่ๆ คืนก่อนหน้าเขียนลงสมุดส่วนตัว วาวแผนเสียอย่างดิบดีว่าจะดูแลสุขภาพให้ perfect
มันก็ล้มเหล็วเสียทุกทีเพราะ ความตั้งใจหรือแค่ Willpower นั้นไม่เคยพอเพียงที่จะฆ่าหมาป่าเลวตัวนั้น
แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป…คำตอบคือ Limiting factor ของการพัฒนาตัวเอง
Limiting factor คือเหตุผลของการไม่บรรลุเป้าหมายของทุกสิ่งอย่าง
![limiting factor](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/04/656px-Minimum-Tonne.svg_-300x274.png)
นํ้าในถังจะสูงได้ซักเท่าไหร่…ก็สูงได้เท่าซี่ไม้ที่ตํ่าที่สุดยังไงล่ะ
ถ้าอยากให้ระดับนํ้าสูงกว่านั้น…จงสนใจไม้ซี่ที่ตำ่ที่สุด
#ความรู้ในการพัฒนาตัวเองก็เช่นกัน
ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารที่ว่ายากเย็นสำหรับเด็กมัธยมต้นที่อยากเติบโตในสายทหาร เป็นที่รู้กันว่าข้อสอบข้อเขียนที่ว่ายากแล้ว แต่ถ้าหากไม่ผ่านการสอบด้านร่างกายก็ไม่สามารถผ่านด่านแห่งความฝันนั้นไปได้อยู่ดี
เราเรียกสิ่งที่จำกัดไม่ให้เราไปต่อได้ในสังเวียนแห่งการต่อสู้ว่า limiting factor หรือปัจจัยลิมิตความสำเร็จ
ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ…
วิทยาศาสตร์ของนิสัยนั่นเอง (the science of habit)
เราแทบไม่เคยต้องคิดว่าต้องแปรงฟังตอนเช้า…
เราเดินทางไปโรงเรียนหรือที่ทำงานด้วยเส้นทางเดิมๆ…
เราก้มลงผูกเชือกรองเท้าด้วยการไขว้ขาแบบเดิม
ในแง่หนึ่งนิสัยทำให้เราทำไปโดยไม่ต้องเปลืองพลังสมองในการตัดสินใจ
และนิสัยนี่เองที่เราสามารถใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการฝึกให้เรา “เคยชิน” กับการป้อนอาหารหมาป่าฝ่ายดีและปล่อยให้หมาป่ายฝ่ายเลวอดตายไปโดยเราแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม
![the power of habit](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/03/wefwf-205x300.jpg)
The power of habit: พลังแห่ง ‘นิสัย’
หากจะมีหนังสือหนึ่งเล่มที่เป็น Non-Fiction อ่านสนุกและ practical เอาไปประยุกต์ใช้จริงได้ในแง่ของการปรับเปลี่ยนตนเอง
ผมคิดว่าหนังสือ The New York Times Best Seller ที่มีชื่อว่า The power of habit จะต้องติดอันดับเป็นแน่
ย้อนกลับมาที่แนวคิด limiting factor ที่กล่าวไปต้นบทความ…หากเราลองพิจารณาหนังสือแนว Self-help หรือ How to ที่อยู่บนชั้นหนังสือแทบทั้งหมด อาจมีคำมั่นสัญญา (promise) เมื่ออ่านจบแตกต่างกันไป เช่นเล่มนี้จะสอนให้คุณ (how to) ลดน้ำหนัก อีกเล่มสอนเรื่องการบริหารเงิน ส่วนอีกเล่มอาจจะสอนให้คุณรู้จักคิดฝันใหญ่
จะเห็นได้ว่าทุกเล่มล้วนมีสารและสาระที่จะนำเสนอ ‘วิธีการบางอย่าง’ ที่เป็น best practice ที่ผู้คนจะนำไปใช้ให้ชีวิตตัวเอง ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
.
.
Abraham Lincoln เคยกล่าวไว้ว่า (บางคนก็บอกว่าเขาไม่เคยพูดไว้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น)
“If I had four hours to chop down a tree, I’d spend the first two hours sharpening the axe”
ถ้าผมมีเวลา 4 ชั่วโมงในการตัดตั้นไม้ ผมจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงแรกในการลับขวาน
และถ้าโจทย์คือการเปลี่ยนชีวิตให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หนังสือตระกูลนี้ก็เปรียบเสมือน แผนที่นำทาง เหมือนวิธีการที่เป็น best practice ที่ผู้เขียนได้เอาไอเดียเหล่านั้นมาขายกับคุณ…
.
หากโจทย์คือการสร้างสะพานแขวนเชื่อมเมือง หนังสือฮาวทูเหล่านี้ก็จะคอยบอกวิธีการกับคุณ
แต่โจทย์ของเราไม่ใช่การสร้างจรวด
ไม่ใช่การสร้างเมือง
ไม่ใช่การสร้างสะพาน
ทว่าโจทย์ของเราคือความเปลี่ยนแปลง
เดิมพันของเราคือชีวิต
และความท้าทายของเราคือการต่อสู้ระหว่างตัวตนสองแบบ
แบบที่จะต้านทานให้เราอยู่กับที่
และแบบผู้ชนะที่จะช่วยให้เราเติบโตในสนามของชีวิต
และ limiting factor ของเราก็คือ การลงมือทำนั่นเอง
“The best time to plant a tree was 20 years ago. The second best time is now.”
เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และเวลาที่ดีรองลงมาคือ…ตอนนี้
– An old Chinese proverb –
เช่นนั้นแล้วจุดหลอก จุดตาย จุดพลาดของนักฝันที่จะเปลี่ยนชีวิตตนเองให้ดีขึ้นคือ การผัดวันประกันพรุ่ง (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า procrastination เผื่อใครอยากศึกษาต่อ) และการไม่ลงมือทำ
เช่นนั้นแล้วเรามาเริ่มปลูกต้นไม้แห่งนิสัยที่ดีกันเถอะ…เริ่มปลูกมันตั้งแต่วันนี้ ยิ่งนานวันนิสัยเหล่านั้นจะยิ่งหลั่งรากลึก
เราแค่ลงแรงในการปลูกวันแรก แต่หลังจากนั้น สายลม แสงแดด และวันเวลาจะทำหน้าที่ดูแลตัวมันเอง
มันยากที่จะฝืนลุกไปวิ่งในเช้าวันแรก…แต่พอผ่านไปไม่นาน เราจะเสพติดการวิงออกกำลังกายเสียด้วยซํ้า
แล้วสุดท้ายการวิ่งก็จะเป็นเหมือนการลุกขึ้นมาแปรงฟันตอนเช้าเท่านั้นเอง
.
.
.
มาถึงตรงนี้จะเห็นชัดแล้วว่าทำไมการลงมือทำ is a key to change your life.
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ลงมือทำได้ล่ะ ในเมื่อแรงเสียดทานช่างมากมายเหลือเกิน ที่ตลกคือไม่ใช้แรงเสียดทานภายนอกด้วย ทว่ามาจากภายในตัวของคุณ คือหมาป่าตัวร้ายตัวนั้น เช่นนั้นแล้ว คุณจะชนะหรือจะแพ้ มันก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของคุณล้วนๆ และมันเริ่มจากการตัดสินใจ…
จะนอนต่อหรือจะลุกไปวิ่ง
จะปิดไฟเข้านอนหรือเอามือถูเฟสไปเรื่อยๆ
จะลุกขึ้นมาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือแค่ดู youtube เลื่อนลอยไปอย่างไร้จุดหมาย
จะหยิบนมถั่วเหลืองกล่องนี้หรือจะสั่งชาไข่มุกร้านนั้น
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ
แล้วการตัดสินใจขึ้นอยู่กับใคร ?
ก็สมองของคุณนั่นเอง
ก่อร่างสร้างนิสัย
![synapse strengthening](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/04/Homosynaptic_Plasticity-1-300x205.jpg)
นิสัยก่อกำเนิดได้อย่างไร…ลองดูภาพเซลล์ประสาทดังภาพสิ
เซลล์ประสาทด้านซ้ายบนถูกกระตุ้นด้วยนิสัยบางอย่างมาเนิ่นนานและส่งสัญญานต่อให้เซลล์ประสาทด้านขวามือ
ในทางกลับกันเซลล์ประสาทด้านซ้ายล่างที่จะถูกกระตุ้นเมื่อทำนิสัยใหม่ที่ดีไม่เคยถูกกระตุ้นมาก่อนเลย
ผลก็คือรอยต่อระหว่างเซลล์ประสาทด้านซ้านบนกับเซลล์ประสาทด้านขวาจะแข็งแรงและส่งสัญญาณให้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ในขณะที่รอยต่อของเซลล์ประสาทซ้ายล่างกับด้านขวาจะอ่อ่นแอ
นั้่นคือเหตุผลว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงนิสัยมันถึงยากนัก ซึ่งอันที่จริงอาจจะเรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม้ได้เสียด้วยซํ้า
แต่ทว่ายังไม่หมดหวัง…ในหนังสือ The power of habit ได้มีการนำเสนอแนวคิดอย่างเป็นรูปธรรมว่าเราจะก่อร่างสร้างนิสัยใหม่ที่ดีมาแทนที่นิสัยเก่าแย่ๆที่ทำมานานปีได้อย่างไร “มันคือการ hack สมอง”
เพราะในความหม่นเทาของการเซ็งตัวเองในความล้มเหล็วในภารกิจจำพวก new years resolution
เรายังเห็นคนบางประเภท คนที่ได้ชื่อว่าเป็น Homo finisher (ยืมคำมาจากพี่นิ้วกลม) บนโลกใบนี้ ถึงจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับ loser แต่พวกเขามีอยู่จริง
คนประเภทที่…
เคยอ้วนปรินำหนักเกินแต่ปีถัดมาลงวิ่งมาราธอน
คนที่อกหักหมดอะไรตายอยากที่กลับมาดูแลตัวเองจนดูดี
คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เป็นคนที่มีเป้าหมายในหน้าที่การงาน
เขาทำได้อย่างไร ?
เราจะไปหาคำตอบกันในบทความหน้าในหัวข้อที่มีชื่อว่า the science of habit โดยผมจะทำหน้าที่พาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าได้ผลจริงมาแล้ว กับคนที่จัดว่าสุดโต่งเลวร้ายด้านพฤติกรรมอย่าง การติดเหล้า ติดการพนัน ติดบุหรี่ ที่สามารถกลับตัวกลับใจ ด้วยการมี mindset และความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
มาเติมจิ๊กซอตัวสุดท้ายที่จะทำให้ limiting factor ของคุณหมดไป กับความรู้ของวิทยาศาสตร์พฤติกรรมในบทความหน้า…มาเรียนรู้และเป็นผู้ชนะใจตัวเองไปพร้อมๆกัน ผู้เขียนเองก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการเดินทางไกลนี้เช่นกัน ขอโห้โชคดี ว่าที่ homo finisher ทุกคน
![ณภัทร สงวนแก้ว](http://news.se-ed.com/wp-content/uploads/2018/03/10474740_700356500035055_6212351541921538620_n-300x227-1-300x227.jpg)
คนสายวิทย์ที่จงใจมาทำงานสายธุรกิจและหวังว่าซักวันหนึ่งทั้งสองโลกจะมาเชื่อมกัน